เมื่อ ลูกค้าทำของหายในร้าน ยืนยันว่าพนักงานขโมย
เจ้าของร้านอาหารหลายราย คงเคยเจอเหตุการณ์ ลูกค้าทำของหายในร้าน กันใช่ไหมครับ หลายๆ คนก็มีวิธีแก้ไขสถานการณ์แตกต่างกันไป วันก่อนผมมีโอกาสไปรับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารร้านหนึ่งในห้างสรรพสินค้า ก็บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์นี้เช่นกัน ซึ่งการแก้ปัญหาของผู้จัดการร้านอาหารน่าสนใจมาก จึงอยากแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ทราบกัน
เรื่องมีอยู่ว่า มีลูกค้าท่านหนึ่ง ลืมโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะอาหาร จึงเดินกลับมาสอบถามพนักงาน ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องนั้นอันตรธานหายไปแล้วครับ
ลูกค้ายืนยันว่าวางไว้บนโต๊ะแน่นอน เพราะเธอหยิบขึ้นมากดสิทธิ์รับโปรโมชั่นเครื่องดื่มฟรี แล้ววางไว้บนโต๊ะ หากบนโต๊ะไม่มีแสดงว่าพนักงานหยิบไปแน่นอน พนักงานเสิร์ฟก็ยืนยันเช่นกันว่าไม่เจอโทรศัพท์บนโต๊ะเลย
เอาละสิครับ…ต่างฝ่ายต่างยืนยันในความเชื่อมั่นของตนเอง ผู้จัดการร้าน จึงต้องทำหน้าที่ เข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหา ผมว่าการแก้ไขปัญหาของเขาน่าสนใจมากครับ
เริ่มจาก เขากล่าวขอโทษลูกค้าเป็นอันดับแรก แม้จะยังไม่ได้สืบสาวราวเรื่องใดๆ เลยก็ตาม เพราะลูกค้าเริ่มมีอารมณ์แล้วครับ มือถือหายทั้งเครื่อง ใครจะไปใจเย็นไหว
ถัดมาจึงขอเบอร์โทรศัพท์เครื่องที่หายจากลูกค้า แล้วโทรเข้ามือถือเครื่องที่หายไปทันที เพื่อตรวจสอบว่าตกหล่นไปที่ไหนหรือเปล่า เผื่อมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นมาจะได้หาเจอ ปรากฏว่าโทรติด แต่ไม่มีคนรับสาย แถมเจ้าของมือถือปิดเสียงและเปิดระบบสั่นไว้อีกด้วย
แต่โชคยังเข้าข้างครับ เพราะมีพนักงานคนหนึ่งในยินเสียงสั่นอยู่ใกล้ๆ เคาท์เตอร์วางเมนู ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องเจ้าปัญหานอนสั่นอยู่ในเมนูครับ
ดูเหมือนเรื่องจะคลี่คลายแล้วใช่ไหม แต่เปล่าเลย เพราะเจ้าของโทรศัพท์กลับยิ่งโกรธ เธอบอกว่าพนักงานเก็บโต๊ะ ต้องจงใจซ่อนโทรศัพท์ของเธอในเมนูแน่นอน แล้วรอเวลาที่ปลอดคน ถึงค่อยมาหยิบไป เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่เห็นว่ามีโทรศัพท์อยู่ในเมนู เธอจึงขอดูกล้องวงจรปิด เพื่อพิสูจน์ว่าใครจงใจขโมยโทรศัพท์ของเธอกันแน่
ในตอนแรกผู้จัดการร้านขอยืนยันว่าพนักงานไม่ได้มีเจตนาขโมยแน่นอน เนื่องจาก ข้อแรกเมนูเล่มใหญ่และค่อนข้างหนา พนักงานจึงอาจไม่ทันได้ตรวจสอบว่ามีโทรศัพท์ติดไปหรือไม่ ข้อสอง เมนูไม่ใช่ที่ซ่อนของที่ปลอดภัยเลย เพราะอาจถูกส่งให้ลูกค้าโต๊ะใดโต๊ะหนึ่งเมื่อไรก็ได้
แต่เจ้าของโทรศัพท์ยืนยันคำเดิมว่าจะขอดูกล้องวงจรปิด ดังนั้นผู้จัดการร้านจึงแจ้งว่า หากต้องการดูกล้องวรจรปิดก็ได้เช่นกัน จากนั้นจึงอธิบายรายละเอียดของการขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดภายในห้างฯ ว่าต้องมีเอกสารใดประกอบบ้าง หากเจ้าของโทรศัพท์เตรียมเรียบร้อยแล้ว สามารถนำเอกสารมาส่งที่ร้านได้เลย แล้วทางผู้จัดการจะเป็นผู้ประสานงานให้ทันที…เรื่องราวความวุ่นวายจึงจบลง
สุดท้ายแล้วผมบอกไม่ได้ว่าตกลงพนักงานจงใจซ่อนโทรศัพท์จริงๆ หรือเปล่า เพราะว่าเอกสารที่เจ้าของโทรศัพท์ต้องนำมายื่นเรื่องคือใบแจ้งความ ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลานานพอดู ผมเลยไม่ได้รอผล แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากบทเรียนนี้คือ วิธีการปฏิบัติงานของผู้จัดการร้าน ที่เรียกได้ว่าเป็น “มืออาชีพ”
เขาสามารถคลี่คลายสถานการณ์ที่ตรึงเครียดได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมอารมณ์ น้ำเสียงและท่าทางการแสดงออกได้ดี พูดจาด้วยความสุภาพ อธิบายขั้นตอนทุกอย่างชัดเจน และแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจได้เหมาะสม ทั้งหมดทั้งมวลผมว่าสิ่งสำคัญที่ผู้จัดการร้านคนนี้มีคือ “สติและประสบการณ์” ที่ช่วยให้เขาผ่านปัญหานี้มาได้
ผมคิดว่าวิธีการแก้ไขสถานการณ์ของเขาน่าจะเป็นกรณีตัวอย่างให้เพื่อนๆ เจ้าของร้านอาหาร นำไปประยุกต์ใช้ได้ดีทีเดียว
สำหรับเพื่อนๆ เจ้าของร้านอาหารคนไหนเคยเจอปัญหาจากการทำร้านอาหาร สามารถแชร์ความรู้กันได้นะครับ เพื่อเป็นวิทยาทานต่อเพื่อนๆ ท่านอื่นต่อไป
บทความน่าสนใจ ลูกค้าล้นร้าน ทำอาหารไม่ทัน ทำอย่างไรดี?