อย่าพลาดเทรนด์ โฆษณาด้วย ASMR ทำให้ผู้บริโภคประทับใจกว่า!!

อย่าพลาดเทรนด์ โฆษณาด้วย ASMR ทำให้ผู้บริโภคประทับใจกว่า!!

        หนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้ คือคลิปวิดีโอ ASMR ที่มีผู้สนใจทั่วโลก เทรนด์ ASMR นี้คืออะไร? และ โฆษณาด้วย ASMR จะช่วยทำการตลาดให้ผู้บริโภคประทับใจและจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้นอย่างไร ติดตามได้จากบทความนี้ครับ 

โฆษณาด้วย ASMR
ทำให้ผู้บริโภคประทับใจกว่า!!


ASMR คืออะไร?

        คำว่า “ASMR” ย่อมาจาก Autonomous Sensory Meridian Response หรือการตอบสนองต่อประสาทรับความรู้สึกอัตโนมัติ โดยใช้ภาพและเสียงเป็นสิ่งกระตุ้นให้สมองเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย เหมือนได้รับการนวด เช่น การดูภาพที่มีการเคลื่อนไหวช้าๆ เป็นจังหวะ หรือเสียงกระซิบใส่ไมโครโฟน เสียงเคี้ยวอาหาร เสียงแคะหู เสียงเคาะสัมผัสสิ่งของ หรือเสียงที่ดังเป็นจังหวะซ้ำๆ โดยต้องใช้ไมโครโฟนพิเศษที่สามารถเก็บเสียงแผ่วเบาได้แบบแยกลำโพงฝั่งซ้ายขวา  

ทำไมเทรนด์ ASMR ถึงเป็นที่นิยม?
        ASMR ไม่ใช่เรื่องใหม่สักเท่าไหร่ แต่เริ่มเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นช่วงหลายปีมานี้ โดยเราจะเห็นคลิปการทำ ASMR มากมายใน Youtube ที่สร้างสรรค์จาก Youtuber หลากหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศเกาหลีที่นิยมกันมาก ซึ่งคลิปวิดีโอประเภทนี้รวมแล้วมีมากกว่าสิบล้านคลิป และยอดการเข้าชมมากกว่าพันล้านวิว ความนิยมของคลิปส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหานอนไม่หลับ ซึ่งสะท้อนปัญหาความเครียดของคนรุ่นใหม่

        ประเทศไทยเองก็มีสตรีมเมอร์ทำ ASMR ทั้งแบบวิดีโอและไลฟ์สด เพื่อช่วยให้คนดูผ่อนคลาย มีสมาธิ และนอนหลับได้ง่ายขึ้น แม้กระทั่งดาราผู้มีชื่อเสียงหลายคนก็หันมาทำ ASMR ด้วย แต่คลิป ASMR เองก็มีหลายแบบ และไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบการทำ ASMR นี้ บางคนก็รู้สึกว่าให้ความรู้สึกประหลาด น่ารำคาญหรือน่าขนลุก แต่อย่างไรก็ตาม ASMR ก็เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงเทรนด์การใช้ ASMR เพื่อโฆษณาสินค้าต่างๆ ก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเช่นกัน  

งาน โฆษณาด้วย ASMR
        งานโฆษณาที่แทรก ASMR ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ASMR สามารถสร้างสรรค์จากอุปกรณ์อะไรก็ได้แทบจะทุกอย่าง ทำให้ใช้ได้กับงานโฆษณาสินค้าหลากหลายประเภท โดยส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เสียงประกอบการโฆษณาที่ชัดเจน ทำให้เกิดความรู้สึกเพลิดเพลินขณะที่รับชม และไม่รู้สึกว่าเป็นการขายสินค้าจนเกินไป ตัวอย่างเช่น

  • iPhone ปล่อยคลิปโฆษณาในแคมเปญ “Shot on iPhone” ที่ใช้ไอโฟนในการถ่ายคลิป ASMR แบบต่างๆ ทั้งบรรยากาศและเสียงในธรรมชาติ การทำงานฝีมือ เสียงกระซิบเล่าความเป็นมาของสถานที่ โดยสื่อถึงภาพและเสียงคมชัดที่ถ่ายได้ด้วยโทรศัพท์รุ่นนี้ เป็นไอเดียการขายของที่ให้ผู้บริโภคสัมผัสด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องยัดเยียดสินค้าเลย

 

  • Ikea ทำวิดีโอแนว ASMR เพื่อนำเสนอเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ต่างๆ สำหรับในหอพัก โดยมีเสียงกระซิบของเด็กสาวบรรยายพร้อมกับมีเสียงลูบผ้า เฟอร์นิเจอร์ เสียงปิดเปิดโคมไฟ เสียงเคาะอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบกับภาพที่แสดงรายละเอียดของเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น ซึ่งคลิปนี้มีความยาวมากถึง 25 นาที แต่มีคนดูเกือบสามล้านคน! และมีคอมเมนท์แสดงความชื่นชมสนใจมากมาย

 

  • ASMR ที่ใช้เสียงจากการทำอาหาร หรือขณะกินอาหาร ถือเป็นคลิปที่พบได้มาก ในโฆษณาอาหารส่วนใหญ่ก็นิยมใช้เสียงกิน เสียงเคี้ยวที่กรุบกรอบ ที่กระตุ้นให้ผู้บริโภครู้สึกหิว และอยากจะวิ่งไปซื้อมาเคี้ยวให้กรอบสะใจแบบในโฆษณาบ้าง พบได้ในแบรนด์ไก่ทอด มันฝรั่งทอด หรืออาหารจานร้อนต่างๆ ที่มีเสียงอาหารเวลาเจอความร้อนในเตา ช่วยเพิ่มความอยากอาหารให้กับผู้บริโภคได้ดีกว่า รวมถึงการใช้ ASMR ระหว่างการทำอาหารในการโฆษณาร้านอาหารก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ

        ในยุคที่ต้องแข่งขันกันทางการตลาดออนไลน์ ทำให้เจ้าของธุรกิจต้องวางแผนหากลยุทธ์ทางการตลาด ที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้และจดจำแบรนด์ได้ ASMR Marketing จึงเป็นอีกวิธีที่สามารถนำไปประยุกต์กับงานโฆษณาได้อีกหลายประเภทในอนาคต

เรื่องแนะนำ

สร้าง content

สร้างเนื้อหา อย่างไร ให้โดนใจบน Facebook

เมื่อคุณเริ่มลงมือทำเพจ Facebook ร้านอาหารเป็นของตัวเอง นอกจากการใส่ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร้านอาหารให้ละเอียดชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อแล้ว สิ่งสำคัญลำดับต่อมาก็คือการสร้างสรรค์เนื้อหาในหน้าเพจร้านอาหารให้คนสนใจด้วย

Food Trend

อัปเดตเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? แนวการทางโปรโมทร้านให้ลูกค้าอยากซื้อ!

อัปเดตเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? แนวการทาง ” โปรโมทร้าน ” ให้ลูกค้าอยากซื้อ! เชื่อว่าทุกวันนี้ก่อนที่ทุกคนจะซื้อหรือใช้อะไรจะต้องหารีวิวมาดู เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อน ยิ่งตอนนี้หลายคนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน เพราะกังวลเรื่องโรคระบาดด้วยแล้วนั้น การจะออกมาเลือกซื้อ เลือกดู จับจ่ายใช้สอยก็เป็นอะไรที่หลายคนไม่อยากเสี่ยง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้คนจึงหันไปเสพคอนเทนต์ของเหล่า Reviewer หรือ Blogger เพื่อใช้ในการตัดสินใจสั่งผ่านเดลิเวอรี่แทน  “อาหาร” สิ่งหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจดูเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรีวิวอาหารหรือวิดีโอสอนทำอาหาร ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้ผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นลองมาดูแนวทางการทำคอนเทนต์จาก คุณณีรนุช อิทธิปัญญาวรกุล Food Blogger เจ้าของเพจ Thintomorrow ที่ได้มาเล่าใน Club House ถอดบทเรียนสู้วิกฤติ ธุรกิจร้านอาหารดัง ถึงเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? และแนวการทางโปรโมทร้านให้ลูกค้าอยากซื้อ! จะมีอะไรบ้างมาดูกัน!      พฤติกรรมของคนในตอนนี้👤: ช่วงนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคค่อนข้างจะเปลี่ยนไป อย่างช่วงก่อนหน้านี้เราจะรู้สึกว่าคนทั่วไปที่อยู่คนเดียวหรืออยู่กันไม่กี่คนจะ จะใช้บริการแอปเดลิเวอรี่เยอะกว่าคนที่อยู่เป็นครอบครัว แต่หลัง ๆ มานี้คนที่อยู่เป็นครอบครัวขนาดกลางไปจนถึงครอบครัวใหญ่มีการสั่งเดลิเวอรี่มากขึ้น ซึ่งจากที่เราเคยสอบถามเหตุผลของคนที่อยู่รอบตัว ได้คำตอบว่าช่วงนี้คนออกไปข้างนอกน้อยลง เขาไม่ค่อยอยากเดินตลาดหรือไม่อยากเดินซุปเปอร์บ่อย ๆ เพราะไม่อยากเสี่ยงกับโรคหรือว่าอยู่บ้านล็อกดาวน์นาน ๆ […]

ถอดบทเรียน ชื่อร้าน “พยางค์เดียว” ตั้งชื่อร้านสั้นๆ จำง่าย แต่ไม่ได้มีแค่ข้อดี

ถอดบทเรียน ชื่อร้าน “พยางค์เดียว” ตั้งชื่อร้านสั้นๆ จำง่าย แต่ไม่ได้มีแค่ข้อดี สังเกตไหมว่าทุกวันนี้ร้านอาหารในไทยมักจะมีการตั้งชื่อสั้น ๆ 1 พยางค์บ้าง 2 พยางค์บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นชื่อไทยๆ ที่สามารถสื่อความหมายถึงร้านได้ในพยางค์เดียว เช่น เขียง ฉัน ฉุน ครก คั่ว จุ่มหรือเป็นการใช้คำซ้ำอย่าง เผ็ดเผ็ด เปี๊ยะเปี๊ยะ บ้านบ้าน เป็นต้น แล้วชื่อสั้นๆ แบบนี้ มันดียังไงนะ ทำไมเดี๋ยวนี้เขาฮิตตั้งชื่อร้านสั้นๆ กันจัง ลองมาดูข้อดีของชื่อสั้น ๆ แล้วลองไปตั้งชื่อร้านเก๋ของตัวเองดูกัน! . ข้อดี . จำง่าย . อย่างแรกเลยคือลูกค้ามีแนวโน้มที่จะจำชื่อสั้น ๆ ง่าย ๆ ได้มากกว่า ชื่อที่อ่านยาก เขียนยาก ยิ่งเป็นชื่อที่สั้นและสามารถสื่อถึงความเป็นร้านได้จบในพยางค์เดียว ก็เหมือนกับการปล่อยหมัดฮุคใส่คู่ต่อสู้ ที่อ่านแค่ครั้งเดียวก็จำขึ้นใจ และเห็นภาพร้านได้ชัด . รู้เลยว่าขายอะไร . แต่ละร้านก็จะมีชื่อที่บ่งบอกเอกลักษณ์ความเป็นร้านของตัวเองที่ต่างกันออกไป บ้างก็ตั้งชื่อเพื่อบ่งบอกว่าประเภทอาหารที่ขาย เช่น […]

Hyper-Personalization

อ่านใจลูกค้าออก บริการได้ตรงใจ ด้วยการตลาดแบบ Hyper-Personalization

อ่านใจลูกค้าออก บริการได้ตรงใจ ด้วยการตลาดแบบ Hyper-Personalization อยากมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด ก็ต้องอ่านใจลูกค้าให้ออก.. ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ผู้บริโภคอยากรู้ทุกอย่าง และสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกเรื่องได้ด้วยปลายนิ้ว ฉะนั้นการทำการตลาดแบบเดิมๆ อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการจำชื่อลูกค้า, ส่งข้อความ หรืออีเมล์ไปอวยพรวันเกิด พร้อมส่วนลดต่างๆ ซึ่งวิธีเหล่านี้กำลังจะกลายมาเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานสำหรับการทำการตลาดเท่านั้น ดังนั้นธุรกิจร้านอาหารหรือแบรนด์ที่จะสะกิดใจคนได้ ต้องเป็นแบรนด์ที่รู้จักและรู้ใจลูกค้า ด้วยการทำการตลาดแบบ Hyper-Personalization ซึ่งเป็นการตลาดที่เข้าถึงตัวบุคคลมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ตรงใจลูกค้ามากกว่าที่เคย อย่าปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เจ้าของธุรกิจทั้งหลายต้องรีบทำความเข้าใจ เรียนรู้ และปรับตัว รวมถึงเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงานให้เข้ากับสถานการณ์ แล้วจะช่วยให้ลูกค้าเดินเข้าร้านได้อย่างยิ้มแย้มและเต็มใจ หัวใจของ Hyper Personalization อยู่ที่ “Big Data” ก่อนอื่นต้องอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก่อนว่าการตลาดแบบ Hyper Personalization เป็นการนำ Big Data แบบเรียลไทม์มาใช้ในการคาดเดาความต้องการของผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ข้อมูลจากประวัติการสั่งซื้อทั่วไป แต่เป็นการเอาข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ออกมาเป็นพฤติกรรมการซื้อ เพื่อให้สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าลูกค้าคนนี้อยากจะซื้อกับเราครั้งถัดไปเมื่อไหร่ หรือจะกระตุ้นเขาให้ซื้อได้ด้วยวิธีไหน ซึ่ง Big Data คือการนำข้อมูลรอบๆ ตัว จากหลายๆ ส่วนมาประมวล วิเคราะห์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อ  จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าของร้านอาหาร ที่จะนำมาวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า […]

Follow Me

Contact

เว็บไซต์ : amarinacademy.com
บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด
ในเครือ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
Tel : 02-422-9999 ต่อ 4662 หรือ 4669, 092-254-0742
Email : amarin.academy@gmail.com

ติดต่อแจ้งปัญหาหรือร้องเรียน
02-422-9999 ต่อ 4180
(จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 18.00 น)
bdcx@amarin.co.th

สนใจลงโฆษณากับเว็บไซต์ Amarin Academy
Tel. 081-664-0666, 091-729-8060
E-mail : sineenart_ya@amarin.co.th

© COPYRIGHT 2025 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.