ธุรกิจอาหารที่สามารถอยู่รอดได้
ใน วิกฤต COVID-19
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 ทั้งเรื่องของจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัส ด้วยการปิดสถานที่ต่างๆ ที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก จากข่าวดังกล่าวยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล และเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิต จนทำให้ธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลานี้ ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการออกไปยังสถานที่สาธารณะ ที่มีผู้คนรวมตัวกันและใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น
- สั่งอาหารเดลิเวอรี่มากขึ้น เพื่อลดการพบปะกับผู้อื่นขณะออกไปซื้ออาหาร
- ซื้อของใช้ที่จำเป็น และกักตุนอาหารเพื่อเตรียมรับมือกับการแพร่ระบาด
- ซื้อของมากขึ้นในแต่ละครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านโดยไม่จำเป็น
- ใส่ใจเรื่องความสะอาด และที่มาของอาหารมากขึ้น
- เกิดกระแส “Work form home” หรือการทำงานที่บ้าน
- รณรงค์ให้มีการเว้นระยะห่างจากสังคม หรือ Social distancing เพื่อลดการแพร่ระบาดของไวรัส
ธุรกิจอาหาร ร้านอาหารต่างๆ แน่นอนว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะร้านอาหารที่มีหน้าร้านเพียงอย่างเดียว เพราะตามที่มีการประกาศล่าสุดคือ ร้านอาหารสามารถเปิดให้บริการได้ แต่จะต้องเป็นการซื้อกลับบ้านเท่านั้น ทำให้หลายร้านต้องเริ่มปรับตัวมากขึ้น เพื่อให้ร้านสามารถไปต่อได้ แต่เชื่อว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาสบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ ยังคงมีธุรกิจอาหารบางประเภทที่ยังสามารถไปต่อได้ในสภาวะแบบนี้ และคิดว่าผู้ประกอบการหลายรายก็ได้เริ่มทำบ้างแล้ว มาดูกันว่าธุรกิจอาหารที่สามารถอยู่รอดได้ใน วิกฤต COVID-19 มีอะไรบ้าง เผื่อเป็นไอเดียให้กับผู้ประกอบการรายอื่นๆด้วย
1.ธุรกิจอาหารเดลิเวอรี่
จากสถิติในปี 2562 มูลค่าของธุรกิจเดลิเวอรี่สูงถึง 3 หมื่นล้านบาท จะเห็นว่าอาหารเดลิเวอรี่เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสกลายเป็น วิกฤต COVID-19 ทำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน ก็ยิ่งมีการสั่งอาหารเดลิเวอรี่เพื่อมาส่งที่บ้านมากขึ้น
ร้านอาหารหลาย ๆ ร้าน จึงเริ่มที่จะปรับตัว โดยการปรับเมนูอาหาร และเรียนรู้การเปิดให้บริการร่วมกับแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ต่างๆ มากขึ้น รวมถึงเน้นการทำโปรโมชั่นกับทางแอปพลิเคชัน และเพิ่มการทำโปรโมชั่นทางออนไลน์ เพื่อเพิ่มยอดขายจากทางเดลิเวอรี่ มาชดเชยกับยอดขายจากหน้าร้านที่ลดลง
ในการบริหารจัดการร้านเองก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน ทั้งเมนูอาหารที่เหมาะสมต่อการขนส่ง ระบบในการจัดการ การรับคำสั่งซื้อ การบรรจุอาหาร บรรจุภัณฑ์อาหารที่ช่วยรักษาคุณภาพอาหาร หน้าที่ของพนักงานที่เปลี่ยนไป รวมถึงต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นจากค่าบรรจุภัณฑ์ และค่า Gross Profit (GP) หรือส่วนแบ่งจากการขายให้กับทางแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีเงินทุน และความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2.อาหารที่สามารถสั่งซื้อผ่านแอปช้อปปิ้ง
กระแสการกักตุนอาหารย่อมทำให้ความต้องการอาหารต่างๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง ขนมขบเคี้ยวต่างๆ รวมไปถึงอาหารแห้ง เช่น หมูแผ่น น้ำพริกแห้ง กุนเชียง เป็นต้น ก็ถือเป็นโอกาสในการขายของผู้ประกอบการธุรกิจอาหารเหล่านี้ เพราะปัจจุบันก็มีการค้าขายออนไลน์หรือแอปช้อปปิ้งต่างๆ เพื่อเป็นช่องทางให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้ออาหารได้อย่างสะดวกสบาย และลดโอกาสการติดเชื้อได้ด้วย
3.วัตถุดิบอาหาร
นอกจากอาหารกึ่งสำเร็จรูปหรืออาหารแห้งแล้ว ผู้บริโภคก็สามารถเลือกซื้อวัตถุดิบอาหารผ่านบริการออนไลน์ แทนการไปตลาดหรือห้างสรรพสินค้าด้วยตัวเองได้ และรอรับการจัดส่งวัตถุดิบสดใหม่ที่บ้านได้เลย ในช่วงเวลาที่ต้องกักตัว หรือทำงานที่บ้าน ก็สามารถสั่งวัตถุดิบผ่านมาออนไลน์มาทำอาหารทานเองได้ โดยไม่ต้องทนรับประทานแต่อาหารสำเร็จรูปหรืออาหารแห้งเดิมๆ อีกต่อไป
4.อาหารที่ขายเป็นคอร์สแบบผูกปิ่นโต
การขายอาหารเป็นคอร์สแบบผูกปิ่นโต เป็นการต่อยอดจากบริการอาหารเดลิเวอรี่ โดยเปลี่ยนลูกค้าจากการสั่งอาหารเป็นครั้งๆ ให้เป็นการสั่งอาหารรายสัปดาห์หรือรายเดือน เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลา หรือเบื่ออาหารสำเร็จรูป แต่ไม่อยากทำอาหารทานเอง
การนำเสนอขายอาหารแบบนี้ จะต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าและตอบโจทย์มากที่สุด เช่น ให้ความสะดวกสบาย จัดส่งอาหารถึงที่ตรงเวลาที่กำหนด จัดโปรโมชั่นที่ถูกลง ทำอาหารปรุงสดใหม่ทุกวัน มีเมนูหลากหลายไม่จำเจ รักษาคุณภาพและความสะอาดของอาหาร มีการบริการตอบคำถามข้อสงสัยของลูกค้าที่ดี และหากเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มได้ก็จะยิ่งมีฐานลูกค้าประจำได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ผูกปิ่นโตเมนูอาหารคลีน เมนูอาหารสำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก อาหารสุขภาพเพื่อผู้สูงวัย อาหารสำหรับเสริมสร้างกล้ามเนื้อ หรือชูจุดขายในการใช้วัตถุดิบออร์แกนิคมาทำอาหาร เป็นต้น
5.ธุรกิจอาหารส่งออก
ประเทศไทยมีแนวโน้มการส่งออกดีขึ้นในช่วงนี้ เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสทำให้หลายประเทศมีการซื้ออาหารกักตุนไว้บริโภค สินค้าเกษตรและอาหารจึงเป็นที่ต้องการมากขึ้น เช่น ข้าว อาหารกระป๋อง ผลไม้ ไก่แช่แข็ง เครื่องดื่ม และเครื่องปรุงรสอาหารต่างๆ
โดยเฉพาะความต้องการข้าวในตลาดต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากข้าวเป็นอาหารหลักของคนเอเชีย และสามารถเก็บไว้ได้นาน ราคาข้าวส่งออกในตลาดโลกก็สูงขึ้น ในตลาดฮ่องกงคาดว่าจะเพิ่มมากถึง 15% แม้แต่ในอเมริกา ราคาข้าวไทยในห้างสรรพสินค้าก็ปรับราคาสูงขึ้น 15-20% รวมไปถึงตลาดในจีนที่เป็นแหล่งส่งออกใหญ่ของประเทศไทย ก็เริ่มมีสถานการณ์การระบาดที่ควบคุมได้ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดีของธุรกิจส่งออกอาหาร หลังจากเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และเงินบาทแข็งค่ามาเป็นระยะเวลานานจาก วิกฤต COVID-19
อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ
ไวรัสโคโรน่า (COVID-19) กระทบหนัก! ร้านอาหารปรับตัวอย่างไรในวิกฤตนี้