ธุรกิจ ขายดี ที่สุด ไม่จำเป็นต้องราคาถูกที่สุด
สงสัยไหมว่า ทำไมบาง ธุรกิจ ขายดี มาก ทั้งๆ ที่ราคาสูงกว่าเจ้าอื่นๆ เช่น กาแฟสีเขียวเจ้าดัง ไก่ทอดเกาหลีเจ้าเด็ด หรือแม้แต่ Disney Land ที่บัตรผ่านประตูก็ไม่ได้ถูกเลยสักนิด แต่คนนับล้านก็ยินดีบินข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อไปเยือนสักครั้ง
ผมจำได้ว่า ครั้งล่าสุดที่ไปเที่ยว Disney Land คือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ไปวันเดียวจ่ายเงินไปประมาณ 5 พันบาทต่อคน กลับถึงบ้านก็มานั่งคิดว่า อะไรที่ทำให้เราเต็มใจจ่ายเงินไปครึ่งหมื่นในวันเดียวเท่านั้น
“ถ้าคุณมีความฝัน คุณก็จะสามารถทำมันให้สำเร็จได้” นี่เป็นสโลแกนของที่นั่นครับ
ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปใน Disney Land ก็รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกแห่งจินตนาการ ชนิดที่ลืมไปเลยว่าตัวเองเริ่มอายุมากละ 5555
ผมตั้งคำถามเดียวกัน กับหนึ่งในเจ้าของธุรกิจ “หม่าล่า สะโบมั้ย” ร้านอาหารสารพัดปิ้งย่าง ทั้งผัก เนื้อ หมู ไก่ สปาเก็ตตี้ที่ได้สูตรพิเศษคลุกเคล้ากับเครื่องเทศสไตล์เสฉวนของประเทศจีน รสชาติแบบเผ็ดๆ ชาๆ ที่ปลายลิ้นจากเครื่องเทศ
ร้านนี้มีหุ้นส่วน 3 คนคือคุณเอกพงศ์ ศรีนรศักดิ์ศิลป์ (พี่จี๋), ภรรยาของพี่จี๋ และพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ แรปเปอร์ชื่อดัง
“เท่าที่ผมดูเมนูที่มี เช่น เบคอนพันเห็ด เอ็นไก่ หมูย่าง เนื้อย่าง บลอกโคลี ราคาก็ประมาณ 10-15 บาท จะว่าแพงก็คงไม่แพงเกินไป แต่ถ้าเทียบกับร้านข้างถนนก็ถือว่าแพงกว่านะ ตอนตั้งราคาไม่กลัวว่าจะขายไม่ได้เหรอ” ผมถามพี่จี๋ด้วยความสงสัย
“ผมโตมากับการซื้ออาหารกินตามร้าน street food ร้านอาหารริมถนนธรรมดาๆ พอผมอยากมีร้านอาหารของตัวเองบ้างผมก็อยากทำร้านให้คงความเป็น street food แต่ต้องดูดีขึ้น เหมือนในเกาหลี และญี่ปุ่นครับ และอยากให้ร้านของผมเป็นจุดนัดพบของลูกค้า…. ผมต้องทำให้ได้ครับ ”
นั่นเป็นสิ่งที่พี่จี๋ บอกความตั้งใจส่วนตัวให้ผมฟัง
พี่จี๋อธิบายภาพกว้างๆ ก่อนครับ ด้วยการเปรียบเทียบกับร้านอาหารอื่นๆ เช่น ถ้าเป็นร้านอาหารในห้าง ก็จะมีสูตรในการตั้งราคา เช่น เอาต้นทุนคูณด้วย 4 เพราะร้านอาหารในห้างมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ไหนจะค่าคน ค่าเช่า ค่าขนส่ง แต่ถ้าตั้งราคาสูงไป ลูกค้าก็จะไม่กล้าเข้าร้าน
พี่จี๋เปรียบเทียบอีกมุมกับร้านอาหารข้างถนนทั่วไป ที่ปกติเค้าจะขายหมาล่า อยู่ที่ไม้ละ 5 บาท ซึ่งราคาถูกมากๆ
แต่ด้วยการตั้งราคาถูก เพราะฉะนั้นเวลาที่จะขยายธุรกิจ ก็จะเพิ่มราคาได้ยาก เพราะลูกค้าจะชินและติดภาพว่าเป็นร้านอาหารราคาถูก
อืม…เป็นมุมมองที่น่าคิดมากครับ
“ครั้งแรกที่ลูกค้ามาทาน อาจจะเป็นเพราะกระแส อาจจะเป็นเพราะมีพี่กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ เป็นหนึ่งในเจ้าของ แต่สิ่งที่จะทำให้ลูกค้ามากินอีกครั้ง มันขึ้นอยู่กับ คุณภาพ ของร้านของเรา”
พี่จี๋ อธิบายต่อว่า การตั้งราคา มันต้องขึ้นอยู่กับว่า “คุณค่าที่ลูกค้าได้รับ” มันคุ้มกับที่เขาจ่ายหรือป่าว
คุณค่าที่ลูกค้าได้รับจากร้าน “หมาล่าสะโบมั้ย” คือ คุณภาพของวัตถุดิบอย่างจัดหนักจัดเต็ม และประสบการณ์ที่ได้รับจากร้านครับ โดยมีจุดยืนว่าจะเป็น “ร้านหมาล่า ที่อร่อยจนคุณต้องร้องขอชีวิต”
พี่จี๋ไม่มีสูตรตายตัวในการตั้งราคาเมนู แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ คืออยากให้ลูกค้ารู้สึกว่า มาที่นี่แล้วฟิน สุดๆ ครับ แต่ทางร้านก็ต้องไม่ขาดทุน
ที่ร้านใช้วัตถุดิบเป็นเนื้อชั้นดี และผักสดๆ พริกก็มีต้นทุนมากกว่าเจ้าอื่นเกือบเท่าตัว ต้นทุนสูงจนทำให้เมนูบางชนิดเหลือกำไรนิดเดียวก็ยอม เหตุผลคือลูกค้าเขาจะสัมผัสได้ว่า อาหารดีจริงหรือป่าว ถ้าดีเขาก็จะบอกต่อ
แม้จะไม่มีสูตรตายตัว แต่ก็มีหลักการเบื้องต้นที่เน้น “ทำกำไรแบบถัวเฉลี่ยในแต่ละเมนู”
“เมนูยอดฮิต อย่างเบคอนพันไข่นกระทา ผมใช้วัตถุดิบจัดหนัก จัดเต็ม กำไรอาจจะน้อยกว่าหลายเมนู แต่เป็นเมนูที่ขายดีมากๆ” ผมฟังไปด้วยแล้วก็ชิมไปด้วย แหม… แซ่บจริงๆ ครับ กินแล้วแทบจะหยุดเคี้ยวไม่ได้เลย
และด้วยหมาล่า เป็นอาหารที่กินแล้วหยุดไม่ได้เนี่ยละครับ ก็จะทำให้ลูกค้ามีโอกาสสั่งอาหารเมนูอื่นๆที่มีกำไรมากขึ้น และสั่งเครื่องดื่มเพื่อดับความเผ็ด ซึ่งก็เป็นอีกประเภทที่ทำกำไรให้กับร้านเช่นกัน
เล่ามาขนาดนี้ ที่นี่ “ลูกค้าแน่นร้านตลอด” และ “ยอดขายทะลุหลักล้านบาทต่อเดือน” (โอวววว ทำได้ไงเนี่ยยยย) ก็คงจะการันตีได้เบื้องต้นว่า ร้านหมาล่า สะโบมั้ย เป็นร้านที่ไม่ธรรมดาอย่างมากครับ
นอกจากหลักคิดการถัวเฉลี่ย พี่จี๋มีเทคนิคในการเพิ่มราคาสินค้าด้วยการคิดเมนูใหม่ๆ
“ทุกๆเดือน ผมจะคิดเมนูใหม่ๆ เสมอๆ ตอนนี้มี 40 เมนู ถ้าเมนูไหนขายดีน้อยสุด 3 อันดับล่าง ผมจะคัดออกแล้วหาเมนูใหม่มาแทนที่ทันทีครับ”
พี่จี๋เปิดเผยเทคนิคให้ฟังครับ เหตุผลแรกที่ต้องทำแบบนี้คือ เป็นอีกเทคนิคที่จะทยอยเพิ่มราคาได้บ้าง เช่น คิดเมนูปลาหมึกสดใส่ชีส คิดเป็นเมนูพิเศษและขายไม้ละ 20 บาท (ปกติขายไม้ละ 10-15 บาท) เป็นการเพิ่มราคาแต่ลูกค้าก็ยังรู้สึกว่ามีความพิเศษ และอยากจะลองสั่งดูสักครั้ง ถ้าอร่อยครั้งหน้าก็จะสั่งอีก
และอีกเหตุผลคือ เป็นการเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้า
ประสบการณ์ใหม่ที่ว่า มีอยู่สองแบบครับ
ถ้าเป็นในแง่ของอาหาร ก็จะมีความสดใหม่ มีเมนูใหม่ๆ ให้ลูกค้าลองชิมเสมอๆ ไม่จำเจ
ส่วนถ้าเป็นบรรยากาศภายในร้าน พี่จี๋ จะพูดต้อนรับแซวลูกค้าอย่างเป็นกันเอง สร้างสีสันให้ร้านอยู่ตลอดเวลา
“คุณลูกค้าที่เพิ่งมาทาน คนไหนหล่อ คนไหนสวยให้รีบมาหยิบเมนูที่ต้องการได้ที่เคาน์เตอร์เลข 1 และจากนั้น ไปจ่ายตังค์ ณ จุดที่ 2 พร้อมกับเลือกระดับความเผ็ดที่ต้องการ แล้วถึงจะเอาไปให้พนักงานปิ้งย่าง ในจุดที่ 3 เลยครับ”
“คุณลูกค้าจะรอเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น ก็จะได้ทานปิ้งย่างอร่อยๆ ตามสไตล์ของ หมาล่าสะโบมั้ยยยยยยยย”
เสียงนุ่มๆของพี่จี๋ จะดังทั่วร้านตลอดเวลา พร้อมกับเปิดเสียงเพลงดนตรี แดนซ์ๆ สนุกคลอๆ เป็นร้านหมาล่าที่เป็นศูนย์รวมเพื่อนๆ ที่นัดการมาทาน มาสังสรรค์กัน
มุมมองของ “ถามอีกกับอิก เรื่องลงทุน”
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ ร้านอาหารหลายแห่งเลือกที่จะแข่งที่ราคาเป็นหลัก ทำทุกอย่างเพื่อลดต้นทุนจะได้สามารถขายได้ในราคาที่ต่ำที่สุด
สิ่งที่เราเรียนรู้จากพี่จี๋ หมาล่าสะโบมั้ย คือ เราต้องรู้ก่อนว่า คุณค่าอะไรที่เราจะมอบให้ลูกค้าของเราได้บ้าง จุดนี้ผมเห็นด้วยครับ เพราะต่อให้ราคาจะสูงกว่าที่อื่น แต่ถ้าคุณค่าที่มอบให้ลูกค้าคุ้มค่าล่ะก็ เขาก็ยอมจ่ายอยู่แล้วครับ
หลังจากคุยกับพี่จี๋ ทำให้ผมนึกถึงคำถามที่ผมถามตัวเองตอนไป Disney Land แล้วก็ได้คำตอบว่า ราคาที่ลูกค้ายอมจ่าย คือคุณค่าและประสบการณ์ที่ได้รับนั่นเอง เพราะฉะนั้น ลองดูครับว่าคุณค่าที่เราให้กับลูกค้าคืออะไรบ้าง เพราะการขายของในราคาที่ถูกที่สุด ไม่จำเป็นเสมอไป