อ่านใจลูกค้าออก บริการตรงใจ ด้วยการตลาดแบบ Hyper-Personalization

อ่านใจลูกค้าออก บริการได้ตรงใจ ด้วยการตลาดแบบ Hyper-Personalization

อ่านใจลูกค้าออก บริการได้ตรงใจ

ด้วยการตลาดแบบ Hyper-Personalization

อยากมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด ก็ต้องอ่านใจลูกค้าให้ออก..

ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ผู้บริโภคอยากรู้ทุกอย่าง และสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกเรื่องได้ด้วยปลายนิ้ว ฉะนั้นการทำการตลาดแบบเดิมๆ อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการจำชื่อลูกค้า, ส่งข้อความ หรืออีเมล์ไปอวยพรวันเกิด พร้อมส่วนลดต่างๆ ซึ่งวิธีเหล่านี้กำลังจะกลายมาเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานสำหรับการทำการตลาดเท่านั้น

ดังนั้นธุรกิจร้านอาหารหรือแบรนด์ที่จะสะกิดใจคนได้ ต้องเป็นแบรนด์ที่รู้จักและรู้ใจลูกค้า ด้วยการทำการตลาดแบบ Hyper-Personalization ซึ่งเป็นการตลาดที่เข้าถึงตัวบุคคลมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ตรงใจลูกค้ามากกว่าที่เคย อย่าปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เจ้าของธุรกิจทั้งหลายต้องรีบทำความเข้าใจ เรียนรู้ และปรับตัว รวมถึงเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงานให้เข้ากับสถานการณ์ แล้วจะช่วยให้ลูกค้าเดินเข้าร้านได้อย่างยิ้มแย้มและเต็มใจ

Hyper-Personalization

หัวใจของ Hyper Personalization อยู่ที่ “Big Data”

ก่อนอื่นต้องอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก่อนว่าการตลาดแบบ Hyper Personalization เป็นการนำ Big Data แบบเรียลไทม์มาใช้ในการคาดเดาความต้องการของผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ข้อมูลจากประวัติการสั่งซื้อทั่วไป แต่เป็นการเอาข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ออกมาเป็นพฤติกรรมการซื้อ เพื่อให้สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าลูกค้าคนนี้อยากจะซื้อกับเราครั้งถัดไปเมื่อไหร่ หรือจะกระตุ้นเขาให้ซื้อได้ด้วยวิธีไหน

ซึ่ง Big Data คือการนำข้อมูลรอบๆ ตัว จากหลายๆ ส่วนมาประมวล วิเคราะห์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อ  จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าของร้านอาหาร ที่จะนำมาวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า เพื่อให้สามารถมองเห็นแนวทางในการวางแผนธุรกิจเพื่อให้ตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้อย่างถูกต้อง

ฟังดูแล้วอาจเหมือนว่า Big Data เป็นสเกลใหญ่ แต่เจ้า Big Data นี้ช่วยได้ในแง่ของการระบุปัญหา และวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงอาจทำให้มองเห็นรูปแบบการแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น และตามหาแนวทางการแก้ปัญหาได้ หากเรารู้ถึงที่มาและมีบทเรียนจากฐานข้อมูลเดิม

ดังนั้นข้อมูล จึงเป็นส่วนสำคัญในการทำ Hyper Personalization เพราะจำเป็นต้องใช้ข้อมูลต่างๆ มาประกอบ และทำการวิเคราะห์ข้อมูลให้รู้จักลูกค้าของตัวเองมากขึ้น ว่าแท้จริงแล้วลูกค้าของเราเป็นใคร แบ่งออกเป็นกี่กลุ่ม ชอบหรือไม่ชอบอะไร โปรโมชั่นแบบไหนที่โดนใจ หรือปกติแล้ววันไหนที่เขามักเสียเงินให้เรามากเป็นพิเศษ ซึ่งแต่เดิมนั้นข้อมูลส่วนบุคคลจะมีเพียงแค่ ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทร เท่านั้น

Hyper-Personalization

เสิร์ฟสิ่งที่สนองความต้องการของลูกค้าในรูปแบบและเวลาที่เหมาะสม

จากตัวอย่างบทความในเว็บไซต์ EverydayMarketing.co ได้ยก Case Study ของ Starbucks กับการทำ Hyper-Personalization ผ่านแอปพลิเคชันไว้ว่า การแนะนำอาหารและเครื่องดื่มในแอปพลิเคชัน จะมาจากการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลการซื้อย้อนหลังออกมาเป็นพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแต่ละคน ทำให้เวลาลูกค้าเปิดแอปพลิเคชัน ขึ้นมาจะเห็นเมนูแนะนำที่ถูกอกถูกใจอยู่เสมอ นอกจากนี้ Starbucks ยังมีการส่งการแจ้งเตือน ไปหาลูกค้าพรีเมี่ยมในกรณีที่ลูกค้าอยู่ใกล้สาขาที่สามารถสั่งกาแฟและจ่ายผ่านมือถือได้ เพื่อให้เกิดการตัดสินใจง่ายขึ้น โดยที่ไม่ต้องเดินผ่านหน้าร้าน

สุดท้ายแล้วการที่ Starbucks ใช้การตลาดแบบ Hyper-Personalization ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า และมีรายได้จากการใช้จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชัน ทางมือถือ เพิ่มมากขึ้น ทำให้ง่ายต่อการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ต่อในอนาคต

อีกหนึ่งบทความจาก forbes.com บอกว่าให้ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการใช้เครื่องมือที่เหมาะสม, การเก็บข้อมูลและสร้างโปรไฟล์ลูกค้า เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าเข้าร้านมากยิ่งขึ้น มาดูเทคโนโลยีบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าของร้านอาหารกันดีกว่า

Point of Sale : เรียกกันสั้นๆ ว่าระบบ POS เป็นระบบที่เก็บข้อมูลการขาย และข้อมูลบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เมื่อมีการขายสินค้า หรือการบริการ ซึ่งมักจะเป็นจุดขายหรือจุดชำระเงินตรงแคชเชียร์

Mobile App : การ Sign-in และใส่ข้อมูลโปรไฟล์ ผ่านแอปพลิเคชัน มือถือ ถือว่าเป็นการเก็บข้อมูลที่ง่ายมากๆ คุณสามารถมองเห็นประวัติการสั่งซื้อ, วันเกิด, เมนูอาหารจานโปรด หรือความถี่ในการสั่งซื้อได้

Guest Management System : ระบบการจัดการลูกค้า เป็นการเก็บข้อมูลการแพ้อาหารของลูกค้า และความพึงพอใจอื่นๆ ในช่วงเวลารับประทานอาหาร ซึ่งระบบนี้จะช่วยให้การจัดการภายในร้านดีขึ้น และมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าเพิ่มขึ้นได้

Loyalty หรือ Rewards Program : โปรแกรมที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ทำให้เกิดความผูกพันกับร้าน ไม่มีเปลี่ยนใจไปร้านไหน โดยอาจจะออกมาเป็นบัตรสะสมคะแนน, Cashback, โปรโมชั่นมื้อพิเศษ, ส่วนลด, หรือข้อเสนอต่างๆ ก็ได้

Kitchen Display System : ระบบแสดงผลออเดอร์อาหาร ถ้าใช้ร่วมกับระบบ POS และ Guest Management System จะยิ่งเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อออเดอร์ส่งถึงมือพ่อครัวแล้ว หากลูกค้ามีอาการแพ้อาหารชนิดไหนก็สามารถระบุได้ หรือหากลูกค้ากำลังจัดปาร์ตี้วันเกิดอยู่ พ่อครัวอาจจะมอบเมนูขนมหวานพิเศษพร้อมข้อความเล็กๆ แสดงความยินดีด้วยก็ได้

Hyper-Personalization

สุดท้ายการรักษาข้อมูลให้อัปเดตอยู่เสมอ ก็เป็นสิ่งที่ร้านอาหารหลายๆ ร้านควรจะทำ เพราะนั่นจะแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ และได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลการเข้าร้าน นอกจากนี้อาจจะต้องมีการเทรนพนักงานให้หมั่นอัปเดตรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หน้างาน เช่น หากลูกค้าชอบนั่งโต๊ะหัวมุม และสั่งไวน์แดง ก็ต้องจดบันทึกลงในระบบ เมื่อลูกค้าคนนี้กลับมาที่ร้านอีกครั้ง เราก็สามารถใช้ข้อมูลตรงนี้ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจได้

จะเห็นได้ว่าการทำ Hyper Personalization นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แม้จะไม่มีขั้นตอนการทำที่แน่ชัด ด้วยข้อมูลที่มีจำนวนมากและบางทีอาจเป็นข้อมูลที่ไม่ซ้ำกันหรือซ้ำกันได้ อาจจะทำให้ยุ่งยากกว่าการทำการตลาดแบบปกติ แต่สุดท้ายแล้วการมีข้อมูลและรู้จักลูกค้าของเรามากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเรื่องดี แถมยังช่วยให้ลูกค้าเกิดความประทับใจในการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนลูกค้าเป็นคนพิเศษสำหรับเราจริงๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังถือเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของเรามากขึ้นด้วย

 

 

ขอบคุณข้อมูล : EverydayMarketing.co

www.peerpower.co.th

www.forbes.com

 

เรื่องแนะนำ

Food Trend

อัปเดตเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? แนวการทางโปรโมทร้านให้ลูกค้าอยากซื้อ!

อัปเดตเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? แนวการทาง ” โปรโมทร้าน ” ให้ลูกค้าอยากซื้อ! เชื่อว่าทุกวันนี้ก่อนที่ทุกคนจะซื้อหรือใช้อะไรจะต้องหารีวิวมาดู เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อน ยิ่งตอนนี้หลายคนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน เพราะกังวลเรื่องโรคระบาดด้วยแล้วนั้น การจะออกมาเลือกซื้อ เลือกดู จับจ่ายใช้สอยก็เป็นอะไรที่หลายคนไม่อยากเสี่ยง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้คนจึงหันไปเสพคอนเทนต์ของเหล่า Reviewer หรือ Blogger เพื่อใช้ในการตัดสินใจสั่งผ่านเดลิเวอรี่แทน  “อาหาร” สิ่งหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจดูเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรีวิวอาหารหรือวิดีโอสอนทำอาหาร ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้ผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นลองมาดูแนวทางการทำคอนเทนต์จาก คุณณีรนุช อิทธิปัญญาวรกุล Food Blogger เจ้าของเพจ Thintomorrow ที่ได้มาเล่าใน Club House ถอดบทเรียนสู้วิกฤติ ธุรกิจร้านอาหารดัง ถึงเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? และแนวการทางโปรโมทร้านให้ลูกค้าอยากซื้อ! จะมีอะไรบ้างมาดูกัน!      พฤติกรรมของคนในตอนนี้👤: ช่วงนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคค่อนข้างจะเปลี่ยนไป อย่างช่วงก่อนหน้านี้เราจะรู้สึกว่าคนทั่วไปที่อยู่คนเดียวหรืออยู่กันไม่กี่คนจะ จะใช้บริการแอปเดลิเวอรี่เยอะกว่าคนที่อยู่เป็นครอบครัว แต่หลัง ๆ มานี้คนที่อยู่เป็นครอบครัวขนาดกลางไปจนถึงครอบครัวใหญ่มีการสั่งเดลิเวอรี่มากขึ้น ซึ่งจากที่เราเคยสอบถามเหตุผลของคนที่อยู่รอบตัว ได้คำตอบว่าช่วงนี้คนออกไปข้างนอกน้อยลง เขาไม่ค่อยอยากเดินตลาดหรือไม่อยากเดินซุปเปอร์บ่อย ๆ เพราะไม่อยากเสี่ยงกับโรคหรือว่าอยู่บ้านล็อกดาวน์นาน ๆ […]

กินอาหารนอกบ้าน

เจ้าของธุรกิจร้านอาหารต้องรู้ 4 พฤติกรรมของผู้บริโภคกับการ กินอาหารนอกบ้าน

จากสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้เราได้เห็นถึงรูปแบบการกินอาหารนอกบ้านที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละปี แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ

ข้าวขาหมูพ.4

ข้าวขาหมูพ.4 พลิกโฉมร้านเดิมให้ยอดพุ่งกว่า 20%

ข้าวขาหมูพ.4 ตำนานข้าวขาหมูย่านดินแดงที่เปิดมานานกว่า 40 ปี ลงมือปรับปรุงร้านอย่างจริงจัง จนทุกวันนี้ยอดขายที่ดีอยู่แล้ว พุ่งขึ้นสูงอีกถึง 20%

สร้างแบรนด์

How to ให้ลูกค้าเต็มใจจ่ายแม้ราคาสูง! ตอบโจทย์ด้วย การสร้างแบรนด์

เคยสงสัยไหมว่า ร้านอาหารที่ขายเมนูเหมือนๆกัน ใช้วัตถุดิบคุณภาพเดียวกัน รสชาติก็ยังอร่อยเหมือนกันอีก แต่ทำไมบางร้านที่ขายอาหารในราคาสูง กลับมีลูกค้าที่พอใจมาใช้บริการแทนที่จะไปร้านที่ราคาถูกกว่า สิ่งที่สามารถยกระดับร้านอาหารขึ้นมาและเพิ่มมูลค่าได้ นั้นคือ “การสร้างแบรนด์” How to ให้ลูกค้าเต็มใจจ่ายแม้ราคาสูง! ตอบโจทย์ด้วย การสร้างแบรนด์ มีประโยคหนึ่งที่มีคนกล่าวไว้ “ของแพงไม่มีอยู่จริง มีแต่ของที่คุ้ม กับไม่คุ้ม” แน่นอนว่าราคามีผลต่อการตัดสินใจซื้อ แต่มากกว่านั้นคือลูกค้ายอมจ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับสิ่งที่ให้ความพึงพอใจได้มากกว่า เรียกได้ว่าถ้าโดนใจแล้ว ราคาเท่าไหร่ก็คุ้มค่า เหมือนการซื้อกาแฟจากร้านแบรนด์ดัง ลูกค้าจะรู้สึกถูกยกระดับขึ้นทันที เมื่อได้ถือไปที่ต่างๆ หรือแม้แต่ถ่ายรูปอวดเพื่อน นั่นคือความสำคัญของแบรนด์ต่อธุรกิจอาหาร   การสร้างแบรนด์ คืออะไร ? Branding หรือกระบวนการสร้างแบรนด์ เป็นการออกแบบภาพลักษณ์และความเป็นตัวตนของร้านอาหาร ผ่านการออกแบบโลโก้ สื่อโฆษณา คอนเทนต์ในสื่อออนไลน์ต่างๆ แม้แต่คอมเมนต์ในที่โต้ตอบกับลูกค้าในโซเชียลมีเดีย ก็ถือเป็นการสร้างแบรนด์ทั้งสิ้น  โดยการสร้างแบรนด์นี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสื่อสารให้แก่ลูกค้าว่า ร้านอาหารของเราขายอะไร มีจุดเด่นเอกลักษณ์อะไรบ้าง สร้างความแตกต่างให้ร้านโดดเด่นออกมาจากร้านอื่น ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค และนำไปสู่ความสนใจใช้บริการร้านอาหาร อาหารอร่อยอยู่แล้ว ทำไมสร้างแบรนด์อีก ? สมัยนี้ ความอร่อยอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะร้านอาหารที่อร่อยนั้นหาได้ง่าย ความอร่อยกลายเป็นพื้นฐานที่ร้านอาหารควรมี แต่สิ่งที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกร้านคุณนั้นก็คือ “ความรู้สึก” […]

Follow Me

Contact

เว็บไซต์ : amarinacademy.com
บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
Tel : 02-422-9999 ต่อ 4662 หรือ 4669, 092-254-0742
Email : amarin.academy@gmail.com

ติดต่อแจ้งปัญหาหรือร้องเรียน
02-422-9999 ต่อ 4180
(จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 18.00 น)
bdcx@amarin.co.th

สนใจลงโฆษณากับเว็บไซต์ Amarin Academy
Tel. 081-664-0666, 091-729-8060
E-mail : sineenart_ya@amarin.co.th

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.