อมรินทร์กรุ๊ป จับมือ ไทยเบฟเวอเรจ แถลงข่าวโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 3”

อมรินทร์กรุ๊ป จับมือ ไทยเบฟเวอเรจ แถลงข่าวโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 3”

อมรินทร์กรุ๊ป จับมือ ไทยเบฟเวอเรจ

แถลงข่าวโครงการ “ ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 3 ”

เดินหน้าจุดพลังรักการอ่าน 77 จังหวัดทั่วประเทศ

 

จากความมุ่งมั่นในการสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษา ผ่านโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” โดยได้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 ตั้งเป้าจะนำโครงการเข้าโรงเรียนให้ครบ  77  จังหวัด  ภายใน  3  ปี  โดยตลอดระยะเวลา  2 ปีที่ผ่านมา  ได้มีการลงพื้นที่มอบหนังสือพร้อมชั้นวางและจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน  ให้กับโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา  รวม  109  โรงเรียน ในพื้นที่  60 จังหวัด  ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย   มอบหนังสือรวมแล้วกว่า  113,000  เล่ม เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและติดตามผลลัพธ์ของโครงการอย่างจริงจัง ซึ่งมีผลการศึกษาของนักเรียนที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ปีที่ 3 บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายหนังสือชั้นนำของเมืองไทยในนาม “ร้านนายอินทร์” ร่วมกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จับมือร่วมกันจัดแถลงข่าวโครงการ “ส่งความรู้สร้างความสุขปี 3” เดินหน้าตามเป้าหมายขยายการเข้าถึงโครงการไปยังเด็กไทยให้ครบ 77 จังหวัด มอบชั้นวางพร้อมหนังสือ และกิจกรรมอ่านวันละ 15 นาที ไปทั่วประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ผนึกกำลังเพื่อร่วมกันสร้างรากฐานแห่งการอ่านที่ดีสู่การพัฒนาการศึกษาของเด็กไทยต่อไป

ส่งความรู้สร้างความสุขปี 3

คุณระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการว่า “ จากความร่วมมือกันทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี จนเข้าสู่ปีที่ 3 ยังคงมีความมุ่งมั่นร่วมกัน  ที่จะส่งเสริมให้เยาวชน  รักและเห็นความสำคัญของการอ่าน เพราะเชื่อว่าการอ่าน  เป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนรู้  และการพัฒนาของเด็ก สามารถสร้างมหัศจรรย์แห่งการเรียนรู้  ดังที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองบอสตัน  เคยนำมาใช้พัฒนาเด็กนักเรียน  โดยเริ่มต้นจาก ให้ครูอ่านหนังสือให้นักเรียนฟังทุกวัน  และต่อมาให้นักเรียนเลือกอ่านหนังสือที่ตนสนใจทุกวัน วันละ  15  นาที  วิธีการดังกล่าวทำให้พฤติกรรมของเด็กในโรงเรียนเปลี่ยนไป  จากสถานการณ์โรงเรียนที่กำลังจะถูกปิดตัวลง  กลายมาเป็นโรงเรียนที่ติดอันดับคะแนนการอ่านได้สูงที่สุดในบอสตัน ต่อมาในประเทศญี่ปุ่น โรงเรียนกว่า 3,500 แห่ง ก็ได้นำแนวคิดให้เด็กอ่านหนังสือวันละ 15 นาทีมาใช้ ซึ่งจากรายงานเหล่านี้ แนวทางปฏิบัตินี้ได้รับการยอมรับ และถูกนำมาปฏิบัติในอีกหลายโรงเรียนหลายประเทศ จนเกิดเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นตามมาอีกด้วย   จึงเป็นแรงบันดาลใจและจุดเริ่มต้นของการทำโครงการนี้ ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่เกิดขึ้นจากโครงการก็ได้เกิดประสิทธิภาพตามที่ตั้งเป้าหมายไว้เป็นอย่างดี  จากการติดตามผลการเรียนของนักเรียนที่เข้าร่วมชมรมรักการอ่าน   ในปีที่  1  พบว่า มีจำนวนนักเรียนที่ผลการเรียนดีขึ้น 64 % จากนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ  7,632  คน และในปีที่  2 มีจำนวนนักเรียนที่ผลการเรียนดีขึ้น 72 % จากนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 7,582 คน  ซึ่งถือเป็นการเติบโตด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินโครงการอย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นแรงขับเคลื่อนโครงการในปี 3 ในการช่วยผลักดันการสร้างรากฐานแห่งการอ่านให้แก่เยาวชนไทย สู่การพัฒนาด้านการศึกษาต่อไป”

 

ด้าน  คุณประวิช สุขุม ผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ กล่าวถึงการสนับสนุนโครงการส่งความรู้  สร้างความสุข ปี 3 ว่า“ตลอดระยะเวลา 2 ปี    ที่ผ่านมา ไทยเบฟยังคงมีความมุ่งมั่น และตระหนักถึงความสำคัญ เรื่องการส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับเยาวชน            ผ่านโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” ที่ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จากผลการดำเนินงาน ที่สร้างสรรค์กิจกรรมการอ่านกว่า 109 แห่งทั่วประเทศ  จะเห็นได้ว่าเยาวชนแต่ละโรงเรียนให้ความสนใจในโครงการอย่างมาก และสมัครเข้าร่วมชมรมรักการอ่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เยาวชนมีความกระตือรือร้นที่อยากอ่านหนังสือมากขึ้น ส่งผลทำให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น 

ทางไทยเบฟมีความยินดีเป็นยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้  ขอขอบคุณ กระทรวงศึกษาธิการ อมรินทร์กรุ๊ปและเครือข่ายพันมิตรทุกภาคส่วน เราพร้อมที่จะเดินหน้าขับเคลื่อน โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” ต่อเนื่องเป็นปี 3 ที่จะร่วมส่งเสริมเยาวชนไทยให้ได้มีหนังสือที่มีคุณภาพดี ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน เพราะการอ่านคือรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของเยาวชน อันจะเป็นวิถีที่ยั่งยืนของการพัฒนาตนเอง และสังคมต่อไป

และนอกจากนี้ ทางไทยเบฟ ยังได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน อาทิ โครงการคอนเน็กซ์ อีดี (Connext ED) โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) โครงการจัดตั้งธุรกิจจำลอง  โครงการครูเจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และอีกหลายโครงการด้วยกัน”

คุณณัฏพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านว่า “จากการดำเนินงานของโครงการ “ส่งความ สร้างความสุข”  ที่ทางหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดขึ้น  ทางกระทรวงศึกษาธิการมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการให้การสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ  ที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนไทย  เพราะมีความเชื่อมั่นว่า “การอ่าน”  เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสามารถนำไปสู่การพัฒนาการศึกษาได้   การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในเด็กและเยาวชน  จึงเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนให้เกิดอย่างต่อเนื่อง  เพราะเชื่อว่าสามารถพัฒนาให้กลายเป็นทักษะที่นำไปสู่การเรียนรู้จนเกิดศักยภาพที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อในชีวิตประจำได้เป็นอย่างดี                                    
รวมถึงสามารถพัฒนาให้เยาวชน  เติบโตไปเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพต่อสังคมไทยได้ในอนาคต   การปลูกฝังเริ่มได้ง่ายๆ  จากการทำกิจกรรมภายในครอบครัว โดยพ่อแม่ผู้ปกครอง และเชื่อมโยงต่อมายังโรงเรียน  อันเป็นศูนย์รวมหลักที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะการอ่านให้สามารถนำไปใช้เพื่อการศึกษาเรียนรู้ ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการเองได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและสนับสนุนส่งเสริมให้โรงเรียนปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในโรงเรียนและสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง การดำเนินโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข”  แสดงเห็นถึงความร่วมมือ และความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันพัฒนา   เสริมสร้างรากฐานการอ่านให้เด็กและเยาวชนไทย  ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน  ที่มีวัตถุประสงค์ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดี  และเห็นควรให้ภาคส่วนต่าง ๆ  ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความร่วมมือ  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การพัฒนา  ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้น จนกลายเป็นประโยชน์ที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ และการศึกษาให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป

ภายในงานแถลงข่าวโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 3 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ (ชั้น2) กระทรวงศึกษาธิการในครั้งนี้ ได้มีการจัดแสดงตัวอย่างหนังสือสำหรับใช้เพื่อมอบให้กับโรงเรียนในโครงการ ซึ่งประกอบไปด้วยหนังสือต่างๆ เช่น พระราชนิพนธ์พระราชนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สื่อการเรียนการสอน หนังสือนิทาน หนังสือความรู้ทั่วไป การ์ตูนเสริมความรู้ การ์ตูนประวัติศาสตร์ ฯลฯ รวมไปถึงหนังสือสองภาษา นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงผลงานของนักเรียนในโครงการซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ และการอ่าน รวมไปถึงความประทับใจจากโครงการส่งความรู้สร้างความสุขปี 1 และ 2 อีกด้วย

สำหรับโครงการส่งความรู้สร้างความสุข ปี 3 ได้มีแผนการดำเนินงานในระยะยาว ซึ่งในปีนี้ได้มีแผนขยายพื้นที่เพื่อมอบโอกาสให้กับโรงเรียนเพิ่มขึ้น โดยจะส่งมอบหนังสือ 51,000 เล่มให้  51 โรงเรียน จาก 17 จังหวัด เพื่อส่งมอบหนังสือให้ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2564 โดยยังคงสนับสนุนและติดตามอย่างต่อเนื่องในการให้โรงเรียนจัดกิจกรรม “อ่านกันวันละ 15 นาที” จัดตั้งชมรม “รักการอ่าน” ให้มีกิจกรรมจดบันทึกคะแนนในสมุดบันทึกรักการอ่าน รวมถึงจัดกิจกรรม “พลังนิทานกระตุ้นพลังสร้างสรรค์” ผ่านช่องทางออนไลน์ และการประกวดเด็กสุขสร้างสรรค์ เพื่อวัดผล ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาต่อยอดของนักเรียนในโครงการ และจัดให้มีการเก็บสถิติวัดผลการเข้าใช้ห้องสมุด-ยืมคืนหนังสือ เพื่อมอบเกียรติบัตรให้กับนักเรียนที่เข้าห้องสมุด-ยืมคืนหนังสือมากที่สุดโรงเรียนละ 5 รางวัล โดยกิจกรรมทั้งหมด โครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี3 จะมีการจัดสรรบุคลากรลงพื้นที่และผ่านออนไลน์ ในการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือครูผู้ดูแลชมรมเพื่อให้โครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย

โครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ไม่ได้เป็นเพียงโครงการที่ส่งมอบหนังสือ แต่มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งในการคิดแนวทางที่ดีและวัดผลได้ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนรักการอ่านและพัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยปณิธาน และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของ อมรินทร์กรุ๊ป และไทยเบฟเวอเรจ รวมถึงเหล่าพันธมิตร ซึ่งเชื่อว่า นิสัยรักการอ่านคือพื้นฐานของการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน 

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดข่าวสาร ประมวลภาพกิจกรรมจากโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข บทความและเคล็ดลับดีดีเกี่ยวกับการอ่าน ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ The Happy Read 

 

****************************************************

สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่

บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ศรีวิมล อังศุสิงห์ (เจน) 083-088-9710

 

เรื่องแนะนำ

แอปพลิเคชัน Food Delivery

รวม แอปพลิเคชัน Food Delivery ช่องทางช่วยร้านส่งอาหารช่วงวิกฤต COVID-19

ณ ตอนนี้ ที่หลายคนกำลังอยู่ในช่วง Work From Home และมีการออกจากบ้านกันน้อยลง ทำให้บริการ Food Delivery เป็นที่ต้องการและได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงนี้ จนเรียกได้ว่า แอปพลิเคชัน Food Delivery เป็นเหมือนพนักงานร้านอาหารประจำตัวของผู้บริโภคหลายๆ คนไปแล้ว ด้วยการอำนวยความสะดวก การนำเสนอเมนูอาหารจากร้านที่หลากหลาย โปรโมชั่นต่างๆ เหล่านี้ทำให้เป็นตัวช่วยที่ดี ที่ช่วยให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านได้  ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชัน Food Delivery มากมายเป็นตัวเลือกให้กับผู้บริโภค โดยแต่ละแอปพลิเคชัน จะมีการใช้งานที่คล้ายกัน แต่ความแตกต่างจะอยู่ที่ค่าบริการ ร้านอาหารที่เข้าร่วม และพื้นที่ให้บริการ วันนี้เราจึงนำเสนอแอปพลิเคชันFood Delivery ยอดนิยม ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก และนำมาปรับใช้กับธุรกิจของคุณในช่วงวิกฤตแบบนี้มาให้ดูกันค่ะ   รวม แอปพลิเคชัน Food Delivery ช่วยร้านส่งอาหารช่วงวิกฤต COVID-19 Line Man Line Man เป็นแอปพลิเคชันที่ให้บริการหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งอาหาร เรียกแท็กซี่ ส่งพัสดุ เมสเซนเจอร์ และซื้อสินค้า ในส่วนของบริการส่งอาหารนั้น LINE […]

ไม่มีทุน

6 ธุรกิจน่าสนใจ ไม่มีทุน ก็ทำได้

ใครๆ ก็อยากมีธุรกิจ แต่หลายคนก็ติดปัญหาตรงที่ ไม่มีทุน ทำให้ต้องจำใจทำงานประจำต่อไป วันนี้เราจึงมี 6 ธุรกิจที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุน หรือใช้เงินลงทุนต่ำมาฝาก

ไมเนอร์

“ ไมเนอร์ ” ทุ่ม 2 พันล้าน ซื้อกิจการไก่ทอด “ บอนชอน ” ในไทย

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT  ประกาศเข้าลงทุนใน บริษัท ชิคเก้น ไทม์ จำกัด ประเทศไทย (ชิคเก้น ไทม์) ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจร้านอาหารชื่อดังภายใต้แบรนด์ไก่ทอด บอนชอน กว่า 40 สาขา ในประเทศไทย ด้วยการลงทุนในสัดส่วน 100% ใน ชิคเก้น ไทม์ โดยเม็ดเงินลงทุนในครั้งนี้เป็นจำนวนถึง 2 พันล้านบาท   “ ไมเนอร์ ” ทุ่ม 2 พันล้าน ซื้อกิจการไก่ทอด “ บอนชอน ” ในไทย การลงทุนของ ไมเนอร์ ในครั้งนี้ นายวิลเลียม เอลล์วูด ไฮเน็คกี ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการของ MINT เล็งเห็นว่า ไก่เป็นหนึ่งในเนื้อสัตว์ที่คนไทยให้ความนิยมรับประทานมากที่สุด และตลาดไก่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก ซึ่งจากการที่ใช้เวลาในการค้นหาแบรนด์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยเสริมสร้างเครือร้านอาหารของไมเนอร์ ก็พบว่า บอนชอนมีความเหมาะสมเป็นอย่างมากกับแบรนด์ที่มีอยู่ในการเป็นร้านอาหารแบบนั่งทาน […]

Digital Delicious

Digital Delicious เทรนด์ใหม่รูปแบบนำเสนออาหารสุดล้ำ เปิดประสบการณ์ผู้บริโภค

ในยุคนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทกับทุกๆสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่แวดวงอาหาร ซึ่งปัจจุบันการเลือกรับประทานอาหารของผู้บริโภคไม่ได้หยุดเพียงแค่ รสชาติอร่อย หน้าตาอาหารสวยงาม หรือแม้แต่การบริการที่ดีเท่านั้น แต่สิ่งที่จะดึงดูดผู้บริโภคในยุคนี้ได้ก็คือ ประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่ในการรับประทานอาหารนั่นเอง เพื่อให้เกิดการจดจำ สร้างความประทับใจ และเป็นที่พูดถึง เรากำลังพูดถึง Digital Delicious ที่นำอาหารและดิจิทัลอาร์ต มารวมไว้ด้วยกัน กับรูปแบบการนำเสนอสุดล้ำที่ชวนว๊าว   เปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคด้วย Digital Delicious  ปัจจุบันนี้แวดวงอาหารบ้านเรา ก็มีวิวัฒนาการที่น่าสนใจมากขึ้นทุกวัน อย่างเช่นล่าสุดที่บอกไปว่ามีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาในการพรีเซ้นท์อาหาร เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้บริโภค นั่นก็คือโปรเจคDigital Delicious ที่ริเริ่มโดยบริษัท Doozy Digilab ผู้นําด้านการสร้างสรรค์ประสบการณ์ดิจิทัลรูปแบบใหม่ ได้นำอาหารและดิจิทัลอาร์ตมารวมไว้ด้วยกัน ในรูปแบบของอาหาร Fine Dining โดยเชฟชื่อดัง เช่น เชฟเอริก ไวด์มันน์ ผู้คว้าตำแหน่งเชฟกระทะเหล็ก Iron Chef Thailand จาก Oriental Residence Bangkok, เชฟแพม-พิชญา อุทารธรรม, เชฟแต-จันทร์ชนก สุนทรญาณกิจ ศิลปินเชฟขนมอบชื่อดัง และเค-อานนท์ ฮุนตระกูล […]

Follow Me

Contact

เว็บไซต์ : amarinacademy.com
บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด
ในเครือ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
Tel : 02-422-9999 ต่อ 4662 หรือ 4669, 092-254-0742
Email : amarin.academy@gmail.com

ติดต่อแจ้งปัญหาหรือร้องเรียน
02-422-9999 ต่อ 4180
(จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 18.00 น)
bdcx@amarin.co.th

สนใจลงโฆษณากับเว็บไซต์ Amarin Academy
Tel. 081-664-0666, 091-729-8060
E-mail : sineenart_ya@amarin.co.th

© COPYRIGHT 2025 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.