อมรินทร์กรุ๊ป จับมือ ไทยเบฟเวอเรจ แถลงข่าวโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 3”

อมรินทร์กรุ๊ป จับมือ ไทยเบฟเวอเรจ แถลงข่าวโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 3”

อมรินทร์กรุ๊ป จับมือ ไทยเบฟเวอเรจ

แถลงข่าวโครงการ “ ส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 3 ”

เดินหน้าจุดพลังรักการอ่าน 77 จังหวัดทั่วประเทศ

 

จากความมุ่งมั่นในการสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษา ผ่านโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” โดยได้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2561 ตั้งเป้าจะนำโครงการเข้าโรงเรียนให้ครบ  77  จังหวัด  ภายใน  3  ปี  โดยตลอดระยะเวลา  2 ปีที่ผ่านมา  ได้มีการลงพื้นที่มอบหนังสือพร้อมชั้นวางและจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน  ให้กับโรงเรียนทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา  รวม  109  โรงเรียน ในพื้นที่  60 จังหวัด  ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย   มอบหนังสือรวมแล้วกว่า  113,000  เล่ม เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและติดตามผลลัพธ์ของโครงการอย่างจริงจัง ซึ่งมีผลการศึกษาของนักเรียนที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ปีที่ 3 บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายหนังสือชั้นนำของเมืองไทยในนาม “ร้านนายอินทร์” ร่วมกับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จับมือร่วมกันจัดแถลงข่าวโครงการ “ส่งความรู้สร้างความสุขปี 3” เดินหน้าตามเป้าหมายขยายการเข้าถึงโครงการไปยังเด็กไทยให้ครบ 77 จังหวัด มอบชั้นวางพร้อมหนังสือ และกิจกรรมอ่านวันละ 15 นาที ไปทั่วประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงศึกษาธิการ พร้อมเครือข่ายพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ผนึกกำลังเพื่อร่วมกันสร้างรากฐานแห่งการอ่านที่ดีสู่การพัฒนาการศึกษาของเด็กไทยต่อไป

ส่งความรู้สร้างความสุขปี 3

คุณระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการว่า “ จากความร่วมมือกันทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี จนเข้าสู่ปีที่ 3 ยังคงมีความมุ่งมั่นร่วมกัน  ที่จะส่งเสริมให้เยาวชน  รักและเห็นความสำคัญของการอ่าน เพราะเชื่อว่าการอ่าน  เป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนรู้  และการพัฒนาของเด็ก สามารถสร้างมหัศจรรย์แห่งการเรียนรู้  ดังที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองบอสตัน  เคยนำมาใช้พัฒนาเด็กนักเรียน  โดยเริ่มต้นจาก ให้ครูอ่านหนังสือให้นักเรียนฟังทุกวัน  และต่อมาให้นักเรียนเลือกอ่านหนังสือที่ตนสนใจทุกวัน วันละ  15  นาที  วิธีการดังกล่าวทำให้พฤติกรรมของเด็กในโรงเรียนเปลี่ยนไป  จากสถานการณ์โรงเรียนที่กำลังจะถูกปิดตัวลง  กลายมาเป็นโรงเรียนที่ติดอันดับคะแนนการอ่านได้สูงที่สุดในบอสตัน ต่อมาในประเทศญี่ปุ่น โรงเรียนกว่า 3,500 แห่ง ก็ได้นำแนวคิดให้เด็กอ่านหนังสือวันละ 15 นาทีมาใช้ ซึ่งจากรายงานเหล่านี้ แนวทางปฏิบัตินี้ได้รับการยอมรับ และถูกนำมาปฏิบัติในอีกหลายโรงเรียนหลายประเทศ จนเกิดเป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้นตามมาอีกด้วย   จึงเป็นแรงบันดาลใจและจุดเริ่มต้นของการทำโครงการนี้ ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่เกิดขึ้นจากโครงการก็ได้เกิดประสิทธิภาพตามที่ตั้งเป้าหมายไว้เป็นอย่างดี  จากการติดตามผลการเรียนของนักเรียนที่เข้าร่วมชมรมรักการอ่าน   ในปีที่  1  พบว่า มีจำนวนนักเรียนที่ผลการเรียนดีขึ้น 64 % จากนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ  7,632  คน และในปีที่  2 มีจำนวนนักเรียนที่ผลการเรียนดีขึ้น 72 % จากนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 7,582 คน  ซึ่งถือเป็นการเติบโตด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินโครงการอย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นแรงขับเคลื่อนโครงการในปี 3 ในการช่วยผลักดันการสร้างรากฐานแห่งการอ่านให้แก่เยาวชนไทย สู่การพัฒนาด้านการศึกษาต่อไป”

 

ด้าน  คุณประวิช สุขุม ผู้อำนวยการสำนักงานสื่อสารองค์กร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้สนับสนุนหลักของโครงการ กล่าวถึงการสนับสนุนโครงการส่งความรู้  สร้างความสุข ปี 3 ว่า“ตลอดระยะเวลา 2 ปี    ที่ผ่านมา ไทยเบฟยังคงมีความมุ่งมั่น และตระหนักถึงความสำคัญ เรื่องการส่งเสริมด้านการศึกษาให้กับเยาวชน            ผ่านโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” ที่ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จากผลการดำเนินงาน ที่สร้างสรรค์กิจกรรมการอ่านกว่า 109 แห่งทั่วประเทศ  จะเห็นได้ว่าเยาวชนแต่ละโรงเรียนให้ความสนใจในโครงการอย่างมาก และสมัครเข้าร่วมชมรมรักการอ่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เยาวชนมีความกระตือรือร้นที่อยากอ่านหนังสือมากขึ้น ส่งผลทำให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น 

ทางไทยเบฟมีความยินดีเป็นยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้  ขอขอบคุณ กระทรวงศึกษาธิการ อมรินทร์กรุ๊ปและเครือข่ายพันมิตรทุกภาคส่วน เราพร้อมที่จะเดินหน้าขับเคลื่อน โครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข” ต่อเนื่องเป็นปี 3 ที่จะร่วมส่งเสริมเยาวชนไทยให้ได้มีหนังสือที่มีคุณภาพดี ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน เพราะการอ่านคือรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาทักษะของเยาวชน อันจะเป็นวิถีที่ยั่งยืนของการพัฒนาตนเอง และสังคมต่อไป

และนอกจากนี้ ทางไทยเบฟ ยังได้ให้การสนับสนุนและส่งเสริมด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน อาทิ โครงการคอนเน็กซ์ อีดี (Connext ED) โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา (Partnership School) โครงการจัดตั้งธุรกิจจำลอง  โครงการครูเจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และอีกหลายโครงการด้วยกัน”

คุณณัฏพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านว่า “จากการดำเนินงานของโครงการ “ส่งความ สร้างความสุข”  ที่ทางหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดขึ้น  ทางกระทรวงศึกษาธิการมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการให้การสนับสนุนการดำเนินงานโครงการ  ที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กและเยาวชนไทย  เพราะมีความเชื่อมั่นว่า “การอ่าน”  เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสามารถนำไปสู่การพัฒนาการศึกษาได้   การปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในเด็กและเยาวชน  จึงเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนให้เกิดอย่างต่อเนื่อง  เพราะเชื่อว่าสามารถพัฒนาให้กลายเป็นทักษะที่นำไปสู่การเรียนรู้จนเกิดศักยภาพที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อในชีวิตประจำได้เป็นอย่างดี                                    
รวมถึงสามารถพัฒนาให้เยาวชน  เติบโตไปเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพต่อสังคมไทยได้ในอนาคต   การปลูกฝังเริ่มได้ง่ายๆ  จากการทำกิจกรรมภายในครอบครัว โดยพ่อแม่ผู้ปกครอง และเชื่อมโยงต่อมายังโรงเรียน  อันเป็นศูนย์รวมหลักที่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะการอ่านให้สามารถนำไปใช้เพื่อการศึกษาเรียนรู้ ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการเองได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและสนับสนุนส่งเสริมให้โรงเรียนปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในโรงเรียนและสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง การดำเนินโครงการ “ส่งความรู้ สร้างความสุข”  แสดงเห็นถึงความร่วมมือ และความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันพัฒนา   เสริมสร้างรากฐานการอ่านให้เด็กและเยาวชนไทย  ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน  ที่มีวัตถุประสงค์ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดี  และเห็นควรให้ภาคส่วนต่าง ๆ  ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ความร่วมมือ  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การพัฒนา  ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้เกิดขึ้น จนกลายเป็นประโยชน์ที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ และการศึกษาให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป

ภายในงานแถลงข่าวโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 3 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ (ชั้น2) กระทรวงศึกษาธิการในครั้งนี้ ได้มีการจัดแสดงตัวอย่างหนังสือสำหรับใช้เพื่อมอบให้กับโรงเรียนในโครงการ ซึ่งประกอบไปด้วยหนังสือต่างๆ เช่น พระราชนิพนธ์พระราชนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สื่อการเรียนการสอน หนังสือนิทาน หนังสือความรู้ทั่วไป การ์ตูนเสริมความรู้ การ์ตูนประวัติศาสตร์ ฯลฯ รวมไปถึงหนังสือสองภาษา นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงผลงานของนักเรียนในโครงการซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ และการอ่าน รวมไปถึงความประทับใจจากโครงการส่งความรู้สร้างความสุขปี 1 และ 2 อีกด้วย

สำหรับโครงการส่งความรู้สร้างความสุข ปี 3 ได้มีแผนการดำเนินงานในระยะยาว ซึ่งในปีนี้ได้มีแผนขยายพื้นที่เพื่อมอบโอกาสให้กับโรงเรียนเพิ่มขึ้น โดยจะส่งมอบหนังสือ 51,000 เล่มให้  51 โรงเรียน จาก 17 จังหวัด เพื่อส่งมอบหนังสือให้ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศภายในปี 2564 โดยยังคงสนับสนุนและติดตามอย่างต่อเนื่องในการให้โรงเรียนจัดกิจกรรม “อ่านกันวันละ 15 นาที” จัดตั้งชมรม “รักการอ่าน” ให้มีกิจกรรมจดบันทึกคะแนนในสมุดบันทึกรักการอ่าน รวมถึงจัดกิจกรรม “พลังนิทานกระตุ้นพลังสร้างสรรค์” ผ่านช่องทางออนไลน์ และการประกวดเด็กสุขสร้างสรรค์ เพื่อวัดผล ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาต่อยอดของนักเรียนในโครงการ และจัดให้มีการเก็บสถิติวัดผลการเข้าใช้ห้องสมุด-ยืมคืนหนังสือ เพื่อมอบเกียรติบัตรให้กับนักเรียนที่เข้าห้องสมุด-ยืมคืนหนังสือมากที่สุดโรงเรียนละ 5 รางวัล โดยกิจกรรมทั้งหมด โครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี3 จะมีการจัดสรรบุคลากรลงพื้นที่และผ่านออนไลน์ ในการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือครูผู้ดูแลชมรมเพื่อให้โครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย

โครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ไม่ได้เป็นเพียงโครงการที่ส่งมอบหนังสือ แต่มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งในการคิดแนวทางที่ดีและวัดผลได้ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนรักการอ่านและพัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยปณิธาน และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของ อมรินทร์กรุ๊ป และไทยเบฟเวอเรจ รวมถึงเหล่าพันธมิตร ซึ่งเชื่อว่า นิสัยรักการอ่านคือพื้นฐานของการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน 

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดข่าวสาร ประมวลภาพกิจกรรมจากโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข บทความและเคล็ดลับดีดีเกี่ยวกับการอ่าน ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ เฟซบุ๊กแฟนเพจ The Happy Read 

 

****************************************************

สอบถามเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่

บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ศรีวิมล อังศุสิงห์ (เจน) 083-088-9710

 

เรื่องแนะนำ

เนื้อจากพืช

4 เหตุผล ทำไม เนื้อจากพืช (plant-based meat) ถึงกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น

Plant-based Meat หรือเนื้อจากพืช คือเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช 95% โดยใช้กระบวนการแปรรูปพืช ให้มีความใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์ทั้งผิวสัมผัสและรสชาติ ใช้ส่วนผสมของพืชและโปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ผสมกับน้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน  มาผ่านขั้นตอนต่างๆเพื่อให้มีสีสัน ความชุ่มฉ่ำ และรสชาติเสมือนเนื้อมากที่สุด นับเป็นเทรนด์การรับประทานอาหารแนวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมมากโดยเฉพาะในต่างประเทศ   ความนิยม Plant-based Meat หรือ เนื้อจากพืช ในช่วง 2-3 ปีมานี้ อุตสาหกรรมเนื้อปรุงแต่งจากพืชกลายเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และอิสราเอล หรือมีผู้เข้ามาลงทุนในธุรกิจประเภทนี้มากขึ้น ทำให้การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตมีแต่ลดลง จนใกล้เคียงกับราคาเนื้อสัตว์แท้ จากข้อมูลของ Euromonitor พบว่าในสหรัฐอเมริกา ยอดขายอาหารสำเร็จรูปของ เนื้อจากพืช ขยายตัวต่อเนื่อง ระหว่างปี 2013 – 2018 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 15.4% เทียบกับเนื้อแปรรูป (Processed Meat) ที่เติบโตปีละ 1.2%  ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ NPD Group ผู้ประกอบการในสหรัฐอเมริกาที่ขายเบอร์เกอร์และแซนด์วิชเนื้อที่ทำจากพืช ก็พบว่ายอดขายระหว่างเมษายน 2018 – มีนาคม 2019 […]

สร้าง Content ว้าว! จนลูกค้ามาต่อคิว

 ในการทำการตลาดออนไลน์หรือ Digital Marketing ในยุคปัจจุบันนี้ เจ้าของธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มส่วนใหญ่จะไปโฟกัสแต่เครื่องมือ โฟกัสแต่เคล็ดลับเทคนิคต่างๆ ในการซื้อโฆษณา

“อาหารเพื่อสุขภาพ” เทรนด์มาแรงสายคลีน โอกาสทองของคนอยากมีธุรกิจ

หนึ่งในปัจจัยภายในที่จะทำให้มีสุขภาพที่ดีได้นั้น คงหนีไม่พ้น “อาหาร” นาทีนี้เรื่องของ “อาหารเพื่อสุขภาพ” หรือ อาหารคลีนฟู้ด กำลังได้รับความนิยม อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทรนด์มาแรงของคนยุคใหม่ ที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้ตลาดธุรกิจร้านอาหารเพื่อสุขภาพขยายตามไปด้วยเช่นกัน สำหรับคนที่สนใจอยากเปิดร้านอาหาร การลงทุนกับอาหารเพื่อสุขภาพเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจและเริ่มต้นได้ไม่ยาก วันนี้เราจึงขอนำเสนอแนวทางที่จะช่วยให้ทุกคนตีโจทย์ลักษณะของธุรกิจร้านอาหารเพื่อสุขภาพมาเป็นแนวทางในการนำไปเริ่มธุรกิจกัน 1.จุดยืนของอาหารเพื่อสุขภาพ ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพเป็นธุรกิจที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่า อาหารของเราทำมาจากวัตถุดิบที่สดใหม่และได้คุณภาพ ปรุงรสและผ่านกรรมวิธีที่ไม่ได้ลดคุณค่าทางอาหารจนเกินไป หากสนใจลงทุนกับธุรกิจด้านนี้แล้ว เจ้าของธุรกิจอย่างเราก็ควรศึกษาหาความรู้เรื่องโภชนาการและคุณค่าทางอาหารต่างๆ ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อเอ่ยถึงอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคล้วนมองหาสิ่งดีๆ ที่จะช่วยให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีมาจากภายใน  เรื่องของคุณภาพวัตถุดิบที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี กรรมวิธีการปรุงอาหารที่ไม่มากเกินไปจนทำให้เสียคุณค่าทางอาหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่กลุ่มคนรักสุขภาพมองเป็นหลัก ส่วนใหญ่มักจะมองหาอาหารที่ช่วยควบคุมแคลอรี่และน้ำหนัก แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีรสชาติที่ดี  มีเมนูให้เลือกอย่างหลากหลาย ไม่จำเจหรือน่าเบื่อจนเกินไป จะเป็นเมนูอาหารเช้า ขนมทานเล่น ของหวาน หรือเมนูหลักก็สามารถสร้างสรรค์ให้หลากหลายได้ หลักในการปรุงส่วนใหญ่นั้น  ร้านควรเน้นวัตถุดิบเพื่อสุขภาพ ไม่มีวัตถุดิบพวกหมักดอง หรือ ขัดขาว เช่นน้ำตาลทรายขาว ข้าวขาว อาหารควรไร้ไขมัน มีน้ำมันประกอบอาหารได้ในจำนวนน้อยและใช้น้ำมันพืชที่ดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน และปรุงรสให้กลมกล่อมแบบกลางๆมากกว่าการเน้นรสจัด ที่สำคัญควรต้องครบห้าหมู่ 2.กลุ่มผู้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ แม้จะดูเหมือนว่าอาหารเพื่อสุขภาพเป็นธุรกิจที่เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม แต่แท้จริงแล้วกลุ่มผู้บริโภคอาหารเพื่อสุขภาพกระจายอยู่ในหลายอาชีพและช่วงอายุ ทั้งกลุ่มนักศึกษาที่อยู่หอพักหรือคอนโด ซึ่งไม่ได้มีพื้นที่ในการทำอาหารมากนัก, กลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ไม่ได้มีเวลาดูแลตัวเองเท่าที่ควร หรือกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งต้องเริ่มใส่ใจกับอาหารการกินมากขึ้น จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้บริโภคไม่ได้เฉพาะเจาะจงแค่กลุ่มคนรักสุขภาพที่เข้าฟิตเนส […]

อาหารเหนือแมสน้อยกว่าภาคอื่น? ปัจจัยต่อ “ความนิยมและรสชาติของอาหารเหนือ”

ทำไม อาหารเหนือ แมสน้อยกว่าอาหารภาคอื่น? ผู้ใช้ทวิตเตอร์แชร์ความเห็นเพราะ รสชาติจืด ไม่ถูกปาก ปัจจัยที่มีผลต่อ “ความนิยมและรสชาติของ อาหารเหนือ” อาหารเหนือ แมสน้อยกว่าอาหารภาคอื่น? ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งได้แชร์ความคิดเห็นเชิงตั้งคำถามจากประสบการณ์ส่วนตัว ประมาณว่าเขารู้สึกว่า อาหารเหนือ ได้รับความนิยมน้อยกว่าอาหารภาคอื่นๆ โดยเขายังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า ตนเองก็รู้สึกว่ารสชาติ อาหารเหนือ ถูกปากน้อยกว่าอาหารภาคอื่น . 1- ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายนี้แชร์ว่า “ทำไมอาหารเหนือถึงไม่แมสเท่าอาหารอีสาน หรืออาหารใต้นะ แต่ส่วนตัวก็รู้สึกว่าอาหารเหนือรสชาติถูกปากน้อยกว่าอาหารใต้จริงๆ” . 2- ซึ่งเมื่อทวีตนี้ออกไปก็ได้มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม โดยหลายคนที่เห็นด้วยกับเจ้าของโพสต์นี้ ล้วนให้เหตุผลว่าอาหารเหนือรสชาติจืดและไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ เช่น “ถ้าเป็นอาหารเหนือแบบรสชาติเหนือแท้ๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าจืดมากกกก จืดๆ เผ็ดๆ ไม่อร่อยเลย ส่วนมากที่เขาว่าอร่อยๆ จะเป็นอาหารเหนือที่เขาเอามาดัดแปลงรสชาติให้ออกมากลางๆ เช่น ร้านหนึ่งที่คนเจียงใหม่แต๊ๆ ไปกินจะไม่ถูกปากเลย” “รสชาติมันต๊ะต่อนยอน ไม่จัดจ้านเหมือนอาหารใต้ จริงๆ ส่วนผสมอาหารเหนือแต๊ๆ มันเป็นอะไรที่ exotic มากๆ คนกินได้ก็กินได้ ไม่ได้ก็คืออ้วกเลย รสมันแปร่งๆ ไม่คุ้นปาก” 3- ในขณะที่คนอื่น ๆ […]

Follow Me

Contact

เว็บไซต์ : amarinacademy.com
บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด
ในเครือ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
Tel : 02-422-9999 ต่อ 4662 หรือ 4669, 092-254-0742
Email : amarin.academy@gmail.com

ติดต่อแจ้งปัญหาหรือร้องเรียน
02-422-9999 ต่อ 4180
(จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 18.00 น)
bdcx@amarin.co.th

สนใจลงโฆษณากับเว็บไซต์ Amarin Academy
Tel. 081-664-0666, 091-729-8060
E-mail : sineenart_ya@amarin.co.th

© COPYRIGHT 2025 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.