5 เทคนิค ลดต้นทุน เพิ่มกำไร แต่มาตรฐานเท่าเดิม! - Amarin Academy

5 เทคนิค ลดต้นทุน เพิ่มกำไร แต่มาตรฐานเท่าเดิม!

ปัญหาส่วนใหญ่ที่ร้านอาหารมักเจอคือ แม้จะขายอาหารได้มาก แต่กำไรกลับน้อยจนน่าใจหาย หนึ่งในสาเหตุของปัญหานี้คือ ต้นทุนสูงเกินไป เจ้าของร้านอาหารหลายคนพยายามหาทางออกด้วยการลดต้นทุน แต่ก็กลัวว่าจะกระทบต่อคุณภาพของร้านอาหาร วันนี้เราจึงมี เทคนิค ลดต้นทุน เพิ่มกำไร แต่ยังคงคุณภาพและมาตรฐานให้ร้านอาหารของเรายังเป๊ะเหมือนเดิมมาฝากครับ

5 เทคนิค ลดต้นทุน เพิ่มกำไร

แต่มาตรฐานเท่าเดิม!

1.จัดระเบียบและตรวจสอบวัตถุดิบของเราอย่างสม่ำเสมอ

ข้อนี้สำคัญมาก แต่เจ้าของร้านอาหารส่วนใหญ่มักไม่ค่อยอยากทำเท่าไรนัก เนื่องจากเป็นงานจุกจิก ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบ แต่เชื่อเถอะว่า การทำอย่างนี้ช่วยลดต้นทุนของคุณได้จริงๆ

ลองคิดดูนะครับ หากคุณไม่เคยเช็คจำนวนวัตถุดิบเลย เวลาสั่งวัตถุดิบจะทำอย่างไร ส่วนใหญ่มักใช้วิธีประมาณการคร่าวๆ หรือไม่ก็ซื้อในปริมาณเท่าเดิมที่เคยใช้ (บางครั้งก็ใช้วิธีซื้อมาเผื่อ คิดว่าเหลือดีกว่าขาด) แต่ตามหลักความจริงแล้ว วัตถุดิบบางอย่างคุณอาจใช้น้อยมาก หรืออาจไม่เคยใช้เลยด้วยซ้ำ จนของเหล่านั้นหมดอายุจนต้องทิ้งไป โดยการทิ้งวัตถุดิบหมดอายุแต่ละครั้งเท่ากับคุณกำลังทิ้งเงินลงถังขยะไปฟรีๆ เลย ฉะนั้นการเช็คจำนวนวัตถุดิบ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

นอกจากนี้ยังควรทำ Tracking number ว่าวัตถุดิบใดซื้อมาก่อน-หลัง เพื่อจะได้นำมาใช้ตามลำดับ หากคุณไม่ทำตามวิธีนี้ เวลาของล็อตใหม่มาถึง พนักงานก็มักหยิบใช้ ชิ้นที่หยิบง่ายที่สุด ปล่อยให้ของชิ้นเดิมถูกปล่อยทิ้งไว้ในห้องเก็บของเนิ่นนาน จนเสื่อมคุณภาพ หรือหมดอายุได้

ฉะนั้นลองใส่ใจกับขั้นตอนนี้สักนิด การสั่งวัตถุดิบครั้งต่อไปของคุณจะมีประสิทธิภาพขึ้นมาก ลูกค้าก็ได้รับของที่มีคุณภาพ ส่วนเราก็ไม่ต้องทิ้งวัตถุดิบไปฟรีๆ Win-Win ทั้งสองฝ่าย

 

2.ควบคุมการทำงานล่วงเวลาโดยไม่จำเป็น

พนักงานร้านอาหาร

การทำงานล่วงเวลาของพนักงาน ถือเป็นต้นทุนหนึ่งที่เจ้าของร้านอาหารจำเป็นต้องควบคุม เพราะตามปกติแล้ว ร้านอาหารส่วนใหญ่มักเปิดบริการนานกว่า 8 ชั่วโมง ซึ่งเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด ทำให้ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาสำหรับพนักงาน ยิ่งวันไหนลูกค้ามากเป็นพิเศษจนต้องปิดร้านช้า ก็ต้องเสียค่าล่วงเวลามากขึ้นตามไปด้วย เช่นนี้แล้ว เรามีวิธีในการจัดการปัญหานี้มาฝาก 2 วิธี

⇒ จ่ายเงินเดือนสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ: วิธีนี้นอกจากจะทำให้พนักงานรู้สึกมีกำไรใจในการทำงาน (เพราะได้ค่าแรงมากกว่าที่กฎหมายกำหนด) แล้ว ยังช่วยให้คุณคาดการณ์ต้นทุนด้านค่าแรงของพนักงานได้ด้วย เพราะแทนที่จะต้องจ่ายค่าแรงเป็นชั่วโมง ก็กำหนดค่าแรงตายตัว และจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายสัปดาห์ไปทีเดียวเลย

⇒ เลือกให้พนักงานทำงานล่วงเวลาแค่บางคน : พนักงาน ไม่จำเป็นต้องอยู่จนถึงเวลาร้านปิดทุกคนนะครับ เจ้าของร้านต้องลองวิเคราะห์ดูว่า พนักงานคนไหน “จำเป็น” ต้องทำงานล่วงเวลา และคนไหนไม่จำเป็น เพื่อจะได้ตัดค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง เช่น ร้านเราปิด 4 ทุ่ม แต่ช่วงเวลาที่คนแน่นจริงๆ คือ 6 โมง ถึง 2 ทุ่ม ช่วงเวลาดังกล่าว คุณอาจจ้างพนักงานเสิร์ฟ 5 คน แต่เมื่อถึง 2 ทุ่ม ก็ลดจำนวนลงเหลือ 2 คนก็พอ และใช้วิธีสลับกันอยู่เวรแทน วิธีนี้นอกจากจะช่วยเซฟค่าใช้จ่าย ยังทำให้พนักงานไม่เหนื่อยจนเกินไปอีกด้วย

 

3.พยายามรักษาพนักงานเดิมเอาไว้ (ไม่ให้พนักงานลาออกบ่อยๆ)

หลายคนอาจสงสัยว่าการที่พนักงานลาออกบ่อย ส่งผลต่อต้นทุนอย่างไร เพราะเมื่อพนักงานลาออก เราก็เพียงแค่จ้างคนใหม่ จ่ายเงินเดือนเท่าเดิม ต้นทุนจะเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างไร หรือการรักษาพนักงานคนเดิมไว้ จะลดต้นทุนได้อย่างไร เพราะเราก็ต้องจ่ายเงินเดือนเท่าเดิมอยู่ดี (แถมต้องขึ้นเงินเดือนให้เสียด้วย)

แต่ความจริงแล้ว การจ้างพนักงานคนใหม่เราไม่ได้เสียเงินแบบตรงๆ แต่เป็นการเสียเงินทางอ้อม ทั้งเรื่องการเทรนนิ่ง (กว่าเขาจะเป็นงานก็เสียเวลาไปพอสมควร) เรื่องความเสียหายจากการทำงานผิดพลาดของพนักงาน เสียค่ายูนิฟอร์ม เสียโอกาสที่พนักงานคนอื่นๆ จะได้ทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่กลับต้องมาสอนงานให้พนักงานใหม่ ฯลฯ

ฉะนั้น การรักษาพนักงานเดิมไว้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยสิ่งสำคัญที่เราต้องคำนึงถึงเวลาคัดเลือกและดูแลพนักงานคือ จ้างคนที่มีประสิทธิภาพ แน่นอนว่าอัตราการลาออกของคนที่มีประสิทธิภาพ ย่อมต่ำกว่าพนักงานทั่วไป แม้ว่าจะต้องเสียเวลาในการคัดเลือกคนและจ่ายค่าแรงมากกว่าสักหน่อย แต่ช่วยให้การทำงานของเราง่ายขึ้นมาก แถมไม่ต้องมาปวดหัวกับการลาออกไม่เว้นแต่ละวันอีกด้วย

ยิ่งพนักงานลาออกน้อยเท่าไร ความผิดพลาดในร้านอาหารของคุณก็จะน้อยเท่านั้น และเมื่อความผิดพลาดน้อยลงค่าใช้จ่ายของคุณก็น้อยลงตามไปด้วย

 

4.ตรวจสอบรายรับ-รายจ่ายทุกฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ

หายนะมาเยือนร้านของคุณแน่ ถ้าไม่รู้รายรับ-รายจ่ายของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่ขายได้ของแต่ละวัน ค่าแรงพนักงาน ต้นทุนวัตถุดิบ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ (เช่น ค่าแก๊ส ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ) เพราะหากคุณไม่รู้ค่าใช้จ่ายของฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ จะไม่มีทางรู้เลยว่ากำไรรั่วไหลไปทางไหน และสามารถอุดรอยรั่วได้หรือเปล่า

เช่น ขณะที่ร้านของคุณขายดีทุกวัน ของหมดทุกอย่าง แต่กำไรกลับน้อยลงเรื่อยๆ คุณต้องกลับไปดูแล้วว่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายส่วนไหนมากเกินปกติ เช่น ค่าแรงล่วงเวลาพนักงานมากไปไหม ค่าวัตถุดิบเพิ่มสูงเกินไปหรือเปล่า และเมื่อคุณทราบว่าปัญหาอยู่ที่จุดใด จะได้แก้ได้ถูกจุด

 

5.โปรโมทสินค้าที่ทำกำไร

เมนูอาหาร

แน่นอนว่ารายได้จากร้านอาหารคือการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มภายในร้าน แต่เมื่อกำไรน้อยจะทำอย่างไร เพิ่มราคา ลดปริมาณ หรือลดคุณภาพวัตถุดิบ? นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย

สิ่งที่เจ้าของร้านอาหารควรทำคือ การจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มในเมนูที่ถูกที่ควรต่างหาก เช่น แทนที่จะมัวเชียร์ให้ลูกค้าสั่งเมนูราคาสูง แต่กำไรน้อย ก็มาเปลี่ยนมานำเสนอ อาหารราคากลางๆ แต่กำไรมากกว่าจะดีกว่าเยอะ โดยจากสถิติพบว่า กลุ่มเมนูที่ทำกำไรสูงสุด มี 3 ชนิด

  1. เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำผลไม้ปั่น ชา กาแฟ เสนอขายไปเลย กำไรสูงแน่นอน
  2. ไวน์ รู้หรือไม่ครับ เราสามารถอัพราคาไวน์ให้สูงขึ้นได้มากถึง 200 % เลย ยิ่งร้านอาหารไหนอยู่ในระดับ Hi-end อัพราคาได้สูงถึง 600% เลย แต่ถ้าร้านไหนไม่จำหน่ายไวน์ ก็กลับไปเลือกข้อหนึ่งนะครับ
  3. พิซซ่า พาสต้า และจานที่มีส่วนประกอบของขนมปัง แน่นอนว่าต้นทุนของแป้งนั้นถูกกว่าวัตถุดิบอื่นๆ มาก กิโลกรัมละ 30-40 บาทเท่านั้น ขณะที่วัตถุดิบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อชนิดต่างๆ หรือแม้แต่ผัก ผลไม้ย่อมสูงกว่ามาก ฉะนั้นเลือกขายเมนูเหล่านี้ดีกว่าครับ

เมื่อรู้ถึงเทคนิคต่างๆแล้ว เจ้าของร้านก็อย่าลืมนำไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับร้านของตัวเองกันด้วยนะครับ

 

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ

แชร์ 10 เทคนิค ใช้ Instagram ให้ปัง เพื่อคนทำธุรกิจอาหาร

FIFO เทคนิคการจัดเก็บวัตถุดิบร้านอาหาร ที่ช่วยลดต้นทุนได้

5 ปัญหาวัตถุดิบ สุดคลาสสิค แก้ได้ กำไรมา!

เรื่องแนะนำ

จัดการเงินในร้านอาหาร

4 วิธี จัดการเงินในร้านอาหาร ให้อยู่หมัด!

เจ้าของร้านอาหารส่วนใหญ่ ไม่รู้วิธีการ จัดการเงินในร้านอาหาร ที่ถูกต้อง ทำให้เงินรั่วไหล ได้กำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หนักเข้าก็ถึงขั้นปิดกิจการ

ร้านอาหารขายดี

เช็กเลย! 5 สาเหตุหลัก ทำให้ ร้านอาหารขายดี เจ๊งไม่เป็นท่า

ความฝันของผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่คือ เปิดร้านอาหาร แล้วขายดี มีกำไร ถ้าร้านอาหารใดมีการวางแผนการเงินรอบคอบก็เดินไปถึงจุดนี้ได้

เผยสูตรคำนวณ ต้นทุนร้านอาหาร คุมค่าใช้จ่ายให้เป๊ะก่อนเปิดร้าน

เพราะการทำร้านอาหารจะกำไรหรือขาดทุน ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าของร้านอาหารควบคุม ต้นทุนร้านอาหาร ได้ดีขนาดไหน การกำหนดโครงสร้างต้นทุนร้านอาหาร จะช่วยทำให้ตั้งราคาขาย และกำหนดยอดขายในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสม  ที่สำคัญยังช่วยให้ป้องกันปัญหาต้นทุนพุ่งจนกระทบยอดรายได้  เพราะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างเหมาะสม   โครงสร้าง ต้นทุนร้านอาหาร ที่สำคัญมีอะไรบ้าง คำนวณอย่างไรไม่ขาดทุน   1.ต้นทุนอาหาร (วัตถุดิบ) ต้นทุนวัตถุดิบอาหาร หมายรวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ปรุง การตกแต่งจาน รวมถึงบรรจุภัณฑ์ต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว ต้นทุนวัตถุดิบที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 25-30 เปอร์เซ็นต์ นอกจากร้านอาหารประเภทบุฟเฟต์ จะมีต้นทุนวัตถุดิบอยู่ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์ การทราบต้นทุนอาหาร ช่วยให้กำหนดราคาขายต่อเมนูได้อย่างแม่นยำ สูตรการคิดคำนวณต้นทุนอาหาร ต้องคำนวณจาก Yield หรือวัตถุดิบที่ใช้ได้จริง เป็นหลัก เพราะฉะนั้นร้านอาหารจะต้องหา Yield ของวัตถุดิบทุกชนิด โดยขั้นตอนก็คือ การชั่งน้ำหนักวัตถุดิบ และทำการเตรียมวัตถุดิบพร้อมสำหรับการปรุง เช่น เนื้อปลา เมื่อหั่นให้ได้ขนาดชิ้นตามสูตร SOP ที่กำหนดแล้ว ให้นำเนื้อปลาหลังตัดแต่ง และเนื้อปลาส่วนที่ตัดทิ้ง มาชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบเพื่อคำนวณ   ค่าเปอร์เซ็นต์ Yield =  ปริมาณหลังตัดแต่ง […]

Business Plan

สรุปขั้นตอนง่ายๆ เขียน Business Plan ให้เป๊ะ

Business Plan คือสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นทำร้านอาหาร โดยประโยชน์หลักๆ มี 2 ข้อ คือ เพื่อใช้แสดงต่อสถาบันการเงิน และให้เจ้าของร้านเห็นภาพรวมในธุรกิจของตัวเอง

Follow Me

Contact

เว็บไซต์ : amarinacademy.com
บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด
ในเครือ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
Tel : 02-422-9999 ต่อ 4662 หรือ 4669, 092-254-0742
Email : amarin.academy@gmail.com

ติดต่อแจ้งปัญหาหรือร้องเรียน
02-422-9999 ต่อ 4180
(จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 18.00 น)
bdcx@amarin.co.th

สนใจลงโฆษณากับเว็บไซต์ Amarin Academy
Tel. 081-664-0666, 091-729-8060
E-mail : sineenart_ya@amarin.co.th

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.