7 วิธีสุดเจ๋ง ช่วย ลดต้นทุนวัตถุดิบ ได้ชัวร์!
ต้นทุนวัตถุดิบ หรือ food cost ถือเป็นค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในร้านอาหาร หากเจ้าของร้านสามารถ ลดต้นทุนวัตถุดิบ ได้มาก กำไรก็จะมากตามไปด้วย กลับกันหากเจ้าของร้านไม่รู้จักการบริหารจัดการวัตถุดิบให้ดี ต้นทุนก็อาจพุ่งกระฉูดจนสิ้นเดือนต้องมานั่งกุมขมับกับตัวเลขท้ายบัญชี หากไม่อยากเป็นอย่างกรณีหลัง มาเรียนรู้การจัดการต้นทุนวัตถุดิบกันดีกว่า
1.หลีกเลี่ยงความคิดที่ว่า “เหลือ ดีกว่าขาด”
คนส่วนใหญ่มักคิดว่าซื้อของมาเผื่อไว้ก่อน เพราะหากของหมดขึ้นมาจะเกิดปัญหาตามมามากมาย แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองกรณีไม่ได้ดีกว่ากันเลย แน่นอนว่าหากวัตถุดิบหมด ร้านคุณย่อมเสียโอกาสในการสร้างรายได้ แต่ขณะเดียวกันหากวัตถุดิบมีมากเกินจำเป็น ยิ่งเป็นของสดที่เก็บรักษาได้ไม่นาน เท่ากับคุณกำลังโยนเงินจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองลงถังขยะไปฟรีๆ
หรือบางคนอาจไปเจอวัตถุดิบที่ถูกมาก แต่ต้องซื้อในปริมาณมากเช่นเดียวกัน ก็ลองปรึกษากับเชฟสักหน่อยว่า จะสามารถสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ ที่ทำจากวัตถุดิบลดราคาได้หรือไม่ หากเขาทำได้ ก็ซื้อได้เลย แต่ต้องมั่นใจว่าจะสามารถขายได้หมดภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์ เพื่อคุณภาพและความสดใหม่สู่มือผู้บริโภค
2.ตรวจสอบวัตถุดิบที่มาส่งที่ร้านทุกครั้ง
การตรวจสอบวัตถุดิบทุกครั้งนอกจากจะทำให้คุณรู้ว่า เราได้ของครบตามจำนวนและตรงตามที่สั่งแล้ว ยังเป็นโอกาสในการตรวจสอบว่าวัตถุดิบเหล่านั้นสดใหม่จริง ๆ หรือเปล่า ร้านอาหารบางร้านอาจบอกว่า Supplier ที่มาส่งไว้ใจได้ เพราะสั่งกันมานาน เขาไม่น่าจะเอาของไม่ดีมาส่ง แต่บางครั้งวัตถุดิบอาจเน่าเสียระหว่างการขนส่งก็เป็นได้ โดยเฉพาะวัตถุดิบจำพวกผัก ผลไม้ ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ ฉะนั้นตรวจสอบคุณภาพทุกครั้ง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินไปฟรีๆ
3.ทำฉลากแสดงวันเดือนปีที่รับวัตถุดิบเข้ามา
การทำฉลากกำกับวัตถุดิบทุกชิ้นว่ารับเข้าเมื่อใด หมดอายุเมื่อไหร่ จะช่วยให้การใช้วัตถุดิบทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะพนักงานจะทราบว่าของชิ้นใดมาส่งก่อน ก็จะได้ใช้ก่อน ส่วนชิ้นที่มาส่งที่หลัง ก็หยิบใช้ทีหลัง เพื่อความสดใหม่ของวัตถุดิบ และป้องกันไม่ให้เกิดการเน่าเสีย โดยอาจใช้เป็นแถบสีแสดงลำดับก่อนหลัง เพื่อความสะดวกและไม่ต้องมานั่งดูตัวเลขวันเวลาทุกครั้งที่หยิบใช้
4.เก็บวัตถุดิบตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
วัตถุดิบแต่ละชิ้นมีวิธีการเก็บรักษาต่างกัน ผักสลัดควรแช่ตู้เย็น แต่ผักบุ้งควรแช่น้ำ ไวน์และเบียร์ก็ไม่ควรเก็บในอุณหภูมิห้อง แต่ควรเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสม (ตามแต่ชนิดของไวน์) เพื่อจะได้มีอายุนานขึ้น การใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ จะช่วยลดอัตราของเสียลงได้ไปได้มากเลยทีเดียว
5.สร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ จากวัตถุดิบเดิม
หากคุณมีวัตถุดิบชนิดใดชนิดหนึ่งจำนวนมากจนใกล้หมดอายุ (แต่ต้องมั่นใจว่ายังคุณภาพยังดีอยู่) เช่น ปลาทูน่า แทนที่คุณจะเสิร์ฟแค่สลัดทูน่าเพียงอย่างเดียว หรือลดราคาเมนูสลัดทูน่าเพื่อจะได้ให้เมนูนี้ออกเร็ว ๆ ขายได้ง่าย ๆ ก็ลองคิดเมนูใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น ยำทูน่า สเต็กทูน่า หรือขนมปังหน้าทูน่าน้ำพริกเผา เป็นต้น การสร้างเมนูใหม่ ๆ นี้ นอกจากจะช่วยให้ใช้วัตถุดิบได้ไวขึ้นแล้ว ยังทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่จำเจว่ามาทีไรก็มีแต่เมนูเดิม ๆ อีกด้วย
6.วัตถุดิบชนิดใดไม่มั่นใจว่าเสียหรือยัง “อย่าเสียดาย”
วัตถุดิบบางชนิดที่มีวันหมดอายุแน่นอน คุณก็คงมั่นใจว่าเสียหรือไม่เสียได้ แต่สำหรับวัตุดิบบางชนิดที่ไม่มีวันหมดอายุ เช่น ผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ที่ซื้อมาจากตลาด หากคุณไม่มั่นใจในคุณภาพจริง ๆ อย่าเสียดายกับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น เพราะหากคุณเสิร์ฟของเสียให้ลูกค้าไป คุณอาจไม่ได้เสียแค่เงินไม่กี่บาท แต่จะเสียลูกค้าคนนั้นไปเลยก็ได้ ฉะนั้นแทนที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ใช้วัตถุดิบไป เปลี่ยนเป็นการเช็คของให้ชัวร์ ๆ จะดีกว่า
7.ของเสีย ก็เปลี่ยนเป็นของดีได้
เมื่อมีวัตถุดิบจำพวกพืชผักที่เสีย เหี่ยว ไม่ได้ขนาด หรือช้ำ ร้านอาหารบ้างร้านอาจนำไปทิ้งถังขยะโดยทันที แต่จริงๆ แล้ว มีวิธีที่ดีกว่านั้น ลองนำผักผลไม้พวกนั้นมาหมักเป็นน้ำหมักชีวภาพดู สูตรการหมักหาได้ง่ายๆ ในโลกอินเทอร์เน็ต นอกจากช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว น้ำหมักเหล่านี้ยังช่วยขจัดคราบไขมันตามท่อน้ำทิ้งได้อีกด้วย ซึ่งแทนที่คุณจะต้องเสียเงินหลักพันหลักหมื่นในการจ้างช่างมาขุดลอกท่อที่เต็มไปด้วยคราบไขมัน คุณเพียงแค่เทน้ำหมักชีวภาพนี้ลงท่อบ่อย ๆ ก็ไม่ต้องเสียเวลาตามช่างแล้ว
7 วิธีที่กล่าวมานี้ ขอการันตีว่าจะช่วย ลดต้นทุน วัตถุดิบภายในร้านได้จริงๆ ลองนำไปทำตามดูนะครับ ส่วนใครมีวิธีที่ดีกว่านี้ อย่าลืมแบ่งปันความรู้กันบ้างนะครับ