อัปเดตเทรนด์คอนเทนต์ร้านอาหาร แนวการทางโปรโมทร้านให้ลูกค้าอยากซื้อ!

อัปเดตเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? แนวการทางโปรโมทร้านให้ลูกค้าอยากซื้อ!

อัปเดตเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ?
แนวการทาง ” โปรโมทร้าน ” ให้ลูกค้าอยากซื้อ!

เชื่อว่าทุกวันนี้ก่อนที่ทุกคนจะซื้อหรือใช้อะไรจะต้องหารีวิวมาดู เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อน ยิ่งตอนนี้หลายคนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน เพราะกังวลเรื่องโรคระบาดด้วยแล้วนั้น การจะออกมาเลือกซื้อ เลือกดู จับจ่ายใช้สอยก็เป็นอะไรที่หลายคนไม่อยากเสี่ยง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้คนจึงหันไปเสพคอนเทนต์ของเหล่า Reviewer หรือ Blogger เพื่อใช้ในการตัดสินใจสั่งผ่านเดลิเวอรี่แทน 

“อาหาร” สิ่งหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจดูเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรีวิวอาหารหรือวิดีโอสอนทำอาหาร ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้ผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นลองมาดูแนวทางการทำคอนเทนต์จาก คุณณีรนุช อิทธิปัญญาวรกุล Food Blogger เจ้าของเพจ Thintomorrow ที่ได้มาเล่าใน Club House ถอดบทเรียนสู้วิกฤติ ธุรกิจร้านอาหารดัง ถึงเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? และแนวการทางโปรโมทร้านให้ลูกค้าอยากซื้อ! จะมีอะไรบ้างมาดูกัน!   

Takeaways

 

  • พฤติกรรมของคนในตอนนี้👤:

ช่วงนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคค่อนข้างจะเปลี่ยนไป อย่างช่วงก่อนหน้านี้เราจะรู้สึกว่าคนทั่วไปที่อยู่คนเดียวหรืออยู่กันไม่กี่คนจะ จะใช้บริการแอปเดลิเวอรี่เยอะกว่าคนที่อยู่เป็นครอบครัว แต่หลัง ๆ มานี้คนที่อยู่เป็นครอบครัวขนาดกลางไปจนถึงครอบครัวใหญ่มีการสั่งเดลิเวอรี่มากขึ้น ซึ่งจากที่เราเคยสอบถามเหตุผลของคนที่อยู่รอบตัว ได้คำตอบว่าช่วงนี้คนออกไปข้างนอกน้อยลง เขาไม่ค่อยอยากเดินตลาดหรือไม่อยากเดินซุปเปอร์บ่อย ๆ เพราะไม่อยากเสี่ยงกับโรคหรือว่าอยู่บ้านล็อกดาวน์นาน ๆ ทำอาหารทุกวันก็เบื่อ ขี้เกียจบ้างหรืออยากทานอาหารใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่ฝีมือตัวเอง อีกทั้งเดี๋ยวนี้แอปฟู้ดเดลิเวอรีก็มีส่วนลดค่อนข้างเยอะ มีลด แลก แจก แถมบ้าง ซึ่งดึงดูดให้คนมาสั่งเดลิเวอรี่เยอะขึ้น

Food Blogger

 

  • วิธีการทำคอนเทนต์แบบฉบับ “Thintomorrow”📱:

การทำคอนเทนต์อาหารในแบบของเพจเรา คือ เราจะพยายามหาจุดที่น่าสนใจของร้านนั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจากการสังเกตพบว่าคนส่วนใหญ่ชอบดูอะไรที่มีวิธีการหน่อย เช่น ถ้าเป็นอาหารประเภทเค้ก เวลาถ่ายรูปก็อาจจะทำให้มีแอ็คชั่นนิดนึง อย่างการตัดเค้กให้ลาวาข้างในไหลออกมา ซึ่งคอนเทนต์ที่คนชอบดูเยอะ ๆ ช่วงนี้จะเป็นคอนเทนต์ทำอาหารที่ไม่ยากจนเกินไป เป็นเมนูง่าย ๆ และใช้วัตถุดิบที่หาได้ไม่ยาก ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นข้อดีทำให้ร้านอาหารสามารถขายวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ได้ด้วย

สำหรับการลงคอนเทนต์อาหารใน IG story เราจะลงแล้วแท็กร้านให้เห็นในขนาดที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าก็จะสามารถเห็นและกดเข้าไปดูได้ แล้วก็จะมีคำรีวิวเป็นตัวอักษรหรือคำพูดที่ไม่ยาวจนเกินไป เป็นคำพูดสั้น ๆ ที่กระชับ เพราะว่า IG story มีระยะเวลาแค่ไม่เกิน 15 วินาที ส่วนตัวเราจึงมองว่าเรื่องการแท็กร้านเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งคอนเทนต์ของเรา ถ้าเราลงหนึ่งร้านก็จะไม่ลงแค่ IG story เดียวแต่จะลงหลาย ๆ อัน เพราะว่าบางทีอันแรกคนอาจจะยังไม่ได้สนใจหรือว่าจับไม่ได้ว่ามันคืออะไร พอเห็นว่าหมดแล้วก็จบ มันก็หายไปและไม่ได้จะกดกลับมาดูอีกครั้ง แต่ถ้าเราลงหลาย story ซึ่งหลาย story ที่ว่านี้ไม่ใช่การลง story เดียวกันแล้วทำให้มันช้า ๆ ให้มีเวลาหลายวินาทีแต่เป็นการที่เรานำหลาย ๆ เมนูของร้าน หรือว่าอะไรที่น่าสนใจของร้านนั้น ๆ มาลง ซึ่งเรารู้สึกว่าไอจี story เป็นอะไรที่เห็นผลพอสมควรจากที่หลาย ๆ ร้านเขาแจ้งกลับมา

คอนเทนต์ของเราจะใช้การใส่เพลงเป็นหลัก แต่จะมีบางครั้งที่วิดีโอบางตัวจะเหมาะกับการพากย์เสียงทับลงไป ซึ่งเราคิดว่าช่วงนี้มันเป็นเทรนที่กำลังมา ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอที่ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะ หรือเป็นวิดีโอที่เป็นขั้นตอนการทำอาหาร ช่วงนี้การ Voice over ลงไปหรือการพากย์เสียงทับลงไปจะได้ผลดีมาก ๆ เพราะว่าบางคนอาจจะไม่ได้อยากอ่านอะไรยาว ๆ ทุกวันนี้ถ้าเราเขียนวิธีการทำอาหารยาว ๆ คนก็จะไม่ค่อยอ่านแล้ว แต่ถ้าเป็นฟัง เขาฟังไปด้วยดูไปด้วยได้ แล้วก็มีเพลงคลอเบา ๆ ไปด้วย คอนเทนต์แบบนี้เรารู้สึกว่าคนให้การตอบรับดี

Food Value

 

  • ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด🍱:

นอกจากอาหารที่มาตามเทรนด์แล้ว ช่วงนี้อาหารที่จัดเป็นเซ็ต มีเมนูมากกว่า 3-4 เมนูขึ้นไปหรือสามารถทานได้ทั้งครอบครัว ได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี ซึ่งเรามองว่าร้านอาหารสามารถที่จะเอาตรงนี้มาจัดควบคู่กับการทำโปรโมชั่นได้ เพราะว่าคนส่วนใหญ่กังวลกับค่าส่งมากกว่าค่าอาหาร 

ซึ่งพอแอปเดลิเวอรี่ใหญ่ ๆ เขาเก็บ GP จากร้านอาหารเยอะ ก็ทำให้เขาสามารถลดค่าส่งหรือส่งฟรี อาจจะไม่ถึง 10 บาท แต่เราก็สนับสนุนให้ทางร้านเองมีการส่งเป็นของตัวเอง เพราะว่าค่า GP ก็ค่อนข้างที่จะเยอะ ซึ่งเรามองว่าการที่ร้านอาหารจัดเซ็ตเมนูจะทำให้เป็นการง่ายต่อการจัดโปรโมชั่น ให้ลูกค้าเสียค่าส่งน้อยที่สุดหรือไปจนถึงฟรี แต่ถ้าถามว่าโปรโมชั่นไหนโดนใจลูกค้า ก็คงจะเป็น โปรฯ ส่งฟรี หนึ่งแถมหนึ่ง ไปจนถึงการแถม โดยส่วนตัวเราถึงแม้จะต้องจ่ายเงินซื้ออาหารในราคาหลักพัน แต่ถ้าทานได้ทั้งครอบครัวและมีส่งฟรี มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าคุ้มกว่า

อีกอย่างที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำโปรโมชั่นของร้านอาหารเลยก็คือ “การสื่อสาร” สำหรับร้านอาหารหลาย ๆ ร้าน เราคิดว่ามีการสื่อสารน้อยไปหน่อยในช่องทางของตัวเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่เวลาที่กดเข้าไปในแอปเดลิเวอรี่ เพื่อเข้าไปดูร้านอาหาร แต่สุดท้ายก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่เขาออกมาจากแอปฯแล้วไปสั่งตรงจากร้านอาหารนั้น ๆ เลย เพราะว่าบางทีการสั่งโดยตรง มีโปรโมชั่นที่ดึงดูดและน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าในแอปฯ 

ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าในแอปฯ มีโปรโมชั่นเยอะมาก เพราะว่าในแอปฯ ขนส่งดัง ๆ การแข่งขันค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นร้านอาหารอาจจะต้องมีโปรโมชั่นค่อนข้างเยอะ ซึ่งบางทีหลาย ๆ ร้าน ก็อาจจะลืมว่าช่องทางที่ทางร้านมี ถ้ามีโปรโมชั่นที่ดึงดูดกว่า ลูกค้าก็จะไปสั่งตรงจากทางร้านด้วยเหมือนกัน ซึ่งเราเองก็มีประสบการณ์สั่งตรงจากร้านด้วยบ่อย ๆ เพราะว่าโปรโมชั่นเขาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

 

  • “ความคุ้มค่า” และ “ความมั่นใจ” ที่ลูกค้าได้รับ💸💖:

“ราคา” ยังเป็นเรื่องหนึ่งที่ลูกค้าให้ความสนใจ ในร้านนึงจึงอาจมีหลาย ๆ ช่วงราคา อาจจะเริ่มต้นที่ราคาไม่สูงมากไปจนถึงสูงเลยก็ได้ แต่พอเป็นราคาสูงไม่ว่าจะเป็นหลักพันหรือว่าเกินพัน หรือหลักหลาย ๆ ร้อย ลูกค้าจะต้องรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป เช่น ถ้าจ่ายเป็นพัน แต่ทานได้ทั้งบ้าน หรือว่าจ่าย 600-800 แต่ทานได้ 3-4 คน ก็รู้สึกว่าคุ้มค่า ไม่เพียงเท่านั้นเพราะการที่ร้านอาหารมีโปรโมชั่นที่ราคาน้อยลงมาหน่อย เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ทานแค่คนเดียวหรือสองคนก็เป็นเรื่องที่ควรจะทำด้วยเหมือนกัน เพราะการที่ร้านมีหลาย ๆ ช่วงราคาจะทำให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารให้เหมาะสมกับตัวเองได้ ด้วยลูกค้าแต่ละคนก็จะมีราคาในใจที่วางเอาไว้ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ แต่ถ้าลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายราคานี้ คุ้มค่ากับตัวเขาและจำนวนที่ได้รับ เขาก็สั่ง เราจึงมองว่าราคาไม่สำคัญเท่ากับตัวสินค้าที่เขาได้รับ

สุดท้ายคือเรื่องของการเพิ่มความมั่นใจ เรามองว่าการสื่อสารสำคัญมาก เพราะว่าเดี๋ยวนี้พอเป็นเดลิเวอรี่ลูกค้าก็จะได้เห็นอาหารก็ต่อเมื่อตอนที่ไรเดอร์มาส่ง ไม่เหมือนกับการไปซื้อที่ร้าน เพราะฉะนั้นการสื่อสารในโซเชียลของร้านอาหารนั้น ๆ ว่ามีการทำอะไรบ้าง อย่างเช่น มีการทำความสะอาดตลอด พาพนักงานไปฉีดวัคซีนหรือใส่ชุด PPE อะไรแบบนี้ ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจกับร้านเยอะขึ้นได้เลย และมีการอัปเดทตลอดไม่ใช่แค่ลงวันนี้ แล้วเว้นไปอีกนาน เพราะการลงโพสต์ที่สม่ำเสมอจะช่วยให้ลูกค้าเห็นว่าร้านเรามีการเคลื่อนไหวตลอด และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้

ซึ่งคุณณีรนุช ก็ยังได้ฝากไว้ว่าแม้ช่วงนี้ร้านอาหารจะเน้นขายเดลิเวอรี่มากขึ้น ด้วยมาตรการปิดร้านอาหารในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เราในฐานะ Food Blogger ก็จะพยายามช่วยเหลือร้านอาหารให้ได้มากที่สุด โดยพยายามช่วยรีวิวร้านเล็ก ๆ ให้ได้มากที่สุด และเป็นกำลังใจให้กับร้านอาหารทุกร้านให้เจ็บตัวน้อยที่สุด อีกทั้งตนก็จะพยายามช่วยเหลือร้านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตน รู้สึกว่าถ้าเราอยู่ได้ ก็อยากให้ทุก ๆ ร้านอยู่ได้ด้วยเหมือนกัน

 

#AmarinAcademy #ร้านอาหาร

 

เรื่องแนะนำ

Hyper-Personalization

อ่านใจลูกค้าออก บริการได้ตรงใจ ด้วยการตลาดแบบ Hyper-Personalization

อ่านใจลูกค้าออก บริการได้ตรงใจ ด้วยการตลาดแบบ Hyper-Personalization อยากมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด ก็ต้องอ่านใจลูกค้าให้ออก.. ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ผู้บริโภคอยากรู้ทุกอย่าง และสามารถเข้าถึงข้อมูลทุกเรื่องได้ด้วยปลายนิ้ว ฉะนั้นการทำการตลาดแบบเดิมๆ อาจไม่ได้ผลอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการจำชื่อลูกค้า, ส่งข้อความ หรืออีเมล์ไปอวยพรวันเกิด พร้อมส่วนลดต่างๆ ซึ่งวิธีเหล่านี้กำลังจะกลายมาเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานสำหรับการทำการตลาดเท่านั้น ดังนั้นธุรกิจร้านอาหารหรือแบรนด์ที่จะสะกิดใจคนได้ ต้องเป็นแบรนด์ที่รู้จักและรู้ใจลูกค้า ด้วยการทำการตลาดแบบ Hyper-Personalization ซึ่งเป็นการตลาดที่เข้าถึงตัวบุคคลมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ตรงใจลูกค้ามากกว่าที่เคย อย่าปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เจ้าของธุรกิจทั้งหลายต้องรีบทำความเข้าใจ เรียนรู้ และปรับตัว รวมถึงเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงานให้เข้ากับสถานการณ์ แล้วจะช่วยให้ลูกค้าเดินเข้าร้านได้อย่างยิ้มแย้มและเต็มใจ หัวใจของ Hyper Personalization อยู่ที่ “Big Data” ก่อนอื่นต้องอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก่อนว่าการตลาดแบบ Hyper Personalization เป็นการนำ Big Data แบบเรียลไทม์มาใช้ในการคาดเดาความต้องการของผู้บริโภค ไม่ใช่แค่ข้อมูลจากประวัติการสั่งซื้อทั่วไป แต่เป็นการเอาข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ออกมาเป็นพฤติกรรมการซื้อ เพื่อให้สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าลูกค้าคนนี้อยากจะซื้อกับเราครั้งถัดไปเมื่อไหร่ หรือจะกระตุ้นเขาให้ซื้อได้ด้วยวิธีไหน ซึ่ง Big Data คือการนำข้อมูลรอบๆ ตัว จากหลายๆ ส่วนมาประมวล วิเคราะห์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อ  จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเจ้าของร้านอาหาร ที่จะนำมาวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า […]

ถอดบทเรียนสุกี้ตี๋น้อย เหตุผลของปรากฎการณ์ 5 ทุ่มก็ยังคิวล้นร้าน

ถอดบทเรียน สุกี้ตี๋น้อย เหตุผลของปรากฎการณ์ 5 ทุ่มก็ยังคิวล้นร้าน ผู้บริโภคตั้งคำถาม หลังอยากกิน ตี๋น้อย แต่คิวยาวทุกร้าน พร้อมรวมเหตุผลจากผู้บริโภคหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน เป็นเหมือนกันไหม ? อยากกิน ตี๋น้อย แต่คิวยาวเกิ้น… ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้มาโพสต์ตั้งคำถามใน “กลุ่มคนรักบุฟเฟต์ (Buffet Lovers)” ถึงเรื่องการไปใช้บริการร้านสุกี้ตี๋น้อย ที่มักจะพบว่าทุกสาขามีลูกค้ารอคิวอยู่ยาวเหยียดตลอด พร้อมตั้งคำถามถึงการใช้กลยุทธ์การตลาดของร้านดังกล่าว ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้โพสต์ว่า “การตลาดตี๋น้อยเขาดีหรืออะไรยังไง เมื่อคืน5ทุ่มกว่าๆ ไปกินคิดว่าไม่มีคิว พอไปถึงคิวยาวเหยียด วนรถไปอีกสาขาก็คิวยาวเหมือนกัน ยอดขายจะปังไปไหน” ซึ่งเมื่อเรื่องนี้ออกไปก็ได้มีสมาชิกกลุ่ม ผู้บริโภคต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นถึงเหตุผลที่ใครต่อใครมักจะไปใช้บริการร้านสุกี้ตี๋น้อย จนทำให้ทุกสาขามีคิวยาวอย่างที่เห็น โดยสามารถสรุปเป็นเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้ ความคุ้มค่า เรื่องราคาเป็นเหตุผลอันดับแรก ๆ ที่หลายคนบอกว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้พวกเขามาใช้บริการร้านสุกี้ตี๋น้อย เนื่องจากสุกี้ตี๋น้อย ถือว่าอยู่ในเรทราคาที่จับต้องได้ และสามารถทานได้หลายอย่าง โดยบางคนได้ยกตัวอย่างว่าถ้าเทียบกับร้านอื่นที่เรทราคาเท่ากัน บางร้านอาจจะไม่มีอาหารประเภทซีฟู้ดรวมอยู่ด้วย แต่สุกี้ตี๋น้อยมี และที่สำคัญคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ ก็อยู่ในระดับที่เขาพึงพอใจ ประกอบกับบรรยากาศของร้านสุกี้ตี๋น้อยที่อยู่ในห้องแอร์ มีที่นั่งกว้างขวาง จึงทำให้เขารู้สึกคุ้มค่าในการมาใช้บริการ ช่วงเวลาในการเปิด ต่อมาคือช่วงเวลาในการเปิดปิดร้านที่เปิดตั้งแต่ 12.00-05.00 ด้วยช่วงเวลาเปิดที่ยาวนานถึงดึก ตรงนี้จึงเป็นจุดหนึ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่ไม่มีเวลามาใช้บริการในช่วงกลางวัน […]

การตลาดร้านอาหาร

ถอดบทเรียน การตลาดร้านอาหาร จากเทศกาลกินเจ

แม้ว่าเทศกาลกินเจในปีนี้จะจบลง แต่ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ทำให้เงินสะพัดหลักพันล้านบาท เราถอดบทเรียน การตลาดร้านอาหาร ที่น่าสนใจ ได้ดังนี้

ตั้งราคาขาย

ตั้งราคาขาย อย่างไร ให้ขายได้และร้านอยู่รอด

        ในช่วงวิกฤตแบบนี้ สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร้านอาหารอยู่รอดได้ คือการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี และการ ตั้งราคาขาย (Price Strategy) ของอาหารที่เหมาะสม โดยเฉพาะในวงการอาหารเดลิเวอรีที่มีการแข่งขันสูง มีร้านอาหารแบบเดียวกันเป็นจำนวนมาก ผู้ประกอบการจะต้องใช้กลยุทธ์ทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อจากร้านของเรา ลองมาดูการตั้งราคาขายอาหารและกลยุทธ์ต่างๆ ที่อาจจะช่วยร้านของคุณได้ครับ ตั้งราคาขาย อย่างไร  ให้ขายได้และร้านอยู่รอด         พื้นฐานของการ ตั้งราคาขาย อาหาร ต้องคำนวณมาจากต้นทุนของร้าน เช่น ต้นทุนวัตถุดิบ ควรอยู่ที่ 30-35% ของยอดขาย ตัวอย่างเช่น ต้นทุนวัตถุดิบเท่ากับ 30 บาท ราคาขายก็ควรจะตั้งไว้ประมาณ 100 บาท เป็นต้น          แต่ไม่ใช่ว่าการคำนวณแบบนี้จะเหมาะสมกับทุกร้านอาหาร เพราะยังมีต้นทุนอื่นๆ ได้แก่ ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าที่ และค่าการตลาดอื่นๆ ส่วนใครที่นำร้านอาหารเข้าร่วมกับผู้ให้บริการเดลิเวอรีต่างๆ ก็อย่าลืมต้นทุนค่า GP […]

Follow Me

Contact

เว็บไซต์ : amarinacademy.com
บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด
ในเครือ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
Tel : 02-422-9999 ต่อ 4662 หรือ 4669, 092-254-0742
Email : amarin.academy@gmail.com

ติดต่อแจ้งปัญหาหรือร้องเรียน
02-422-9999 ต่อ 4180
(จันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 18.00 น)
bdcx@amarin.co.th

สนใจลงโฆษณากับเว็บไซต์ Amarin Academy
Tel. 081-664-0666, 091-729-8060
E-mail : sineenart_ya@amarin.co.th

© COPYRIGHT 2025 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.