อัปเดตเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ?
แนวการทาง ” โปรโมทร้าน ” ให้ลูกค้าอยากซื้อ!
เชื่อว่าทุกวันนี้ก่อนที่ทุกคนจะซื้อหรือใช้อะไรจะต้องหารีวิวมาดู เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อน ยิ่งตอนนี้หลายคนหลีกเลี่ยงการออกจากบ้าน เพราะกังวลเรื่องโรคระบาดด้วยแล้วนั้น การจะออกมาเลือกซื้อ เลือกดู จับจ่ายใช้สอยก็เป็นอะไรที่หลายคนไม่อยากเสี่ยง ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้คนจึงหันไปเสพคอนเทนต์ของเหล่า Reviewer หรือ Blogger เพื่อใช้ในการตัดสินใจสั่งผ่านเดลิเวอรี่แทน
“อาหาร” สิ่งหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจดูเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรีวิวอาหารหรือวิดีโอสอนทำอาหาร ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้สามารถช่วยเพิ่มยอดขายให้ผู้ประกอบการได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้นลองมาดูแนวทางการทำคอนเทนต์จาก คุณณีรนุช อิทธิปัญญาวรกุล Food Blogger เจ้าของเพจ Thintomorrow ที่ได้มาเล่าใน Club House ถอดบทเรียนสู้วิกฤติ ธุรกิจร้านอาหารดัง ถึงเทรนด์คอนเทนต์อาหาร ช่วงนี้ผู้บริโภคชอบอะไร ? และแนวการทางโปรโมทร้านให้ลูกค้าอยากซื้อ! จะมีอะไรบ้างมาดูกัน!
- พฤติกรรมของคนในตอนนี้👤:
ช่วงนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคค่อนข้างจะเปลี่ยนไป อย่างช่วงก่อนหน้านี้เราจะรู้สึกว่าคนทั่วไปที่อยู่คนเดียวหรืออยู่กันไม่กี่คนจะ จะใช้บริการแอปเดลิเวอรี่เยอะกว่าคนที่อยู่เป็นครอบครัว แต่หลัง ๆ มานี้คนที่อยู่เป็นครอบครัวขนาดกลางไปจนถึงครอบครัวใหญ่มีการสั่งเดลิเวอรี่มากขึ้น ซึ่งจากที่เราเคยสอบถามเหตุผลของคนที่อยู่รอบตัว ได้คำตอบว่าช่วงนี้คนออกไปข้างนอกน้อยลง เขาไม่ค่อยอยากเดินตลาดหรือไม่อยากเดินซุปเปอร์บ่อย ๆ เพราะไม่อยากเสี่ยงกับโรคหรือว่าอยู่บ้านล็อกดาวน์นาน ๆ ทำอาหารทุกวันก็เบื่อ ขี้เกียจบ้างหรืออยากทานอาหารใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่ฝีมือตัวเอง อีกทั้งเดี๋ยวนี้แอปฟู้ดเดลิเวอรีก็มีส่วนลดค่อนข้างเยอะ มีลด แลก แจก แถมบ้าง ซึ่งดึงดูดให้คนมาสั่งเดลิเวอรี่เยอะขึ้น
- วิธีการทำคอนเทนต์แบบฉบับ “Thintomorrow”📱:
การทำคอนเทนต์อาหารในแบบของเพจเรา คือ เราจะพยายามหาจุดที่น่าสนใจของร้านนั้น ๆ ให้ได้มากที่สุด ซึ่งจากการสังเกตพบว่าคนส่วนใหญ่ชอบดูอะไรที่มีวิธีการหน่อย เช่น ถ้าเป็นอาหารประเภทเค้ก เวลาถ่ายรูปก็อาจจะทำให้มีแอ็คชั่นนิดนึง อย่างการตัดเค้กให้ลาวาข้างในไหลออกมา ซึ่งคอนเทนต์ที่คนชอบดูเยอะ ๆ ช่วงนี้จะเป็นคอนเทนต์ทำอาหารที่ไม่ยากจนเกินไป เป็นเมนูง่าย ๆ และใช้วัตถุดิบที่หาได้ไม่ยาก ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นข้อดีทำให้ร้านอาหารสามารถขายวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ได้ด้วย
สำหรับการลงคอนเทนต์อาหารใน IG story เราจะลงแล้วแท็กร้านให้เห็นในขนาดที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าก็จะสามารถเห็นและกดเข้าไปดูได้ แล้วก็จะมีคำรีวิวเป็นตัวอักษรหรือคำพูดที่ไม่ยาวจนเกินไป เป็นคำพูดสั้น ๆ ที่กระชับ เพราะว่า IG story มีระยะเวลาแค่ไม่เกิน 15 วินาที ส่วนตัวเราจึงมองว่าเรื่องการแท็กร้านเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งคอนเทนต์ของเรา ถ้าเราลงหนึ่งร้านก็จะไม่ลงแค่ IG story เดียวแต่จะลงหลาย ๆ อัน เพราะว่าบางทีอันแรกคนอาจจะยังไม่ได้สนใจหรือว่าจับไม่ได้ว่ามันคืออะไร พอเห็นว่าหมดแล้วก็จบ มันก็หายไปและไม่ได้จะกดกลับมาดูอีกครั้ง แต่ถ้าเราลงหลาย story ซึ่งหลาย story ที่ว่านี้ไม่ใช่การลง story เดียวกันแล้วทำให้มันช้า ๆ ให้มีเวลาหลายวินาทีแต่เป็นการที่เรานำหลาย ๆ เมนูของร้าน หรือว่าอะไรที่น่าสนใจของร้านนั้น ๆ มาลง ซึ่งเรารู้สึกว่าไอจี story เป็นอะไรที่เห็นผลพอสมควรจากที่หลาย ๆ ร้านเขาแจ้งกลับมา
คอนเทนต์ของเราจะใช้การใส่เพลงเป็นหลัก แต่จะมีบางครั้งที่วิดีโอบางตัวจะเหมาะกับการพากย์เสียงทับลงไป ซึ่งเราคิดว่าช่วงนี้มันเป็นเทรนที่กำลังมา ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอที่ค่อนข้างมีรายละเอียดเยอะ หรือเป็นวิดีโอที่เป็นขั้นตอนการทำอาหาร ช่วงนี้การ Voice over ลงไปหรือการพากย์เสียงทับลงไปจะได้ผลดีมาก ๆ เพราะว่าบางคนอาจจะไม่ได้อยากอ่านอะไรยาว ๆ ทุกวันนี้ถ้าเราเขียนวิธีการทำอาหารยาว ๆ คนก็จะไม่ค่อยอ่านแล้ว แต่ถ้าเป็นฟัง เขาฟังไปด้วยดูไปด้วยได้ แล้วก็มีเพลงคลอเบา ๆ ไปด้วย คอนเทนต์แบบนี้เรารู้สึกว่าคนให้การตอบรับดี
- ตอบโจทย์ลูกค้าให้มากที่สุด🍱:
นอกจากอาหารที่มาตามเทรนด์แล้ว ช่วงนี้อาหารที่จัดเป็นเซ็ต มีเมนูมากกว่า 3-4 เมนูขึ้นไปหรือสามารถทานได้ทั้งครอบครัว ได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคค่อนข้างดี ซึ่งเรามองว่าร้านอาหารสามารถที่จะเอาตรงนี้มาจัดควบคู่กับการทำโปรโมชั่นได้ เพราะว่าคนส่วนใหญ่กังวลกับค่าส่งมากกว่าค่าอาหาร
ซึ่งพอแอปเดลิเวอรี่ใหญ่ ๆ เขาเก็บ GP จากร้านอาหารเยอะ ก็ทำให้เขาสามารถลดค่าส่งหรือส่งฟรี อาจจะไม่ถึง 10 บาท แต่เราก็สนับสนุนให้ทางร้านเองมีการส่งเป็นของตัวเอง เพราะว่าค่า GP ก็ค่อนข้างที่จะเยอะ ซึ่งเรามองว่าการที่ร้านอาหารจัดเซ็ตเมนูจะทำให้เป็นการง่ายต่อการจัดโปรโมชั่น ให้ลูกค้าเสียค่าส่งน้อยที่สุดหรือไปจนถึงฟรี แต่ถ้าถามว่าโปรโมชั่นไหนโดนใจลูกค้า ก็คงจะเป็น โปรฯ ส่งฟรี หนึ่งแถมหนึ่ง ไปจนถึงการแถม โดยส่วนตัวเราถึงแม้จะต้องจ่ายเงินซื้ออาหารในราคาหลักพัน แต่ถ้าทานได้ทั้งครอบครัวและมีส่งฟรี มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าคุ้มกว่า
อีกอย่างที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการทำโปรโมชั่นของร้านอาหารเลยก็คือ “การสื่อสาร” สำหรับร้านอาหารหลาย ๆ ร้าน เราคิดว่ามีการสื่อสารน้อยไปหน่อยในช่องทางของตัวเอง ซึ่งคนส่วนใหญ่เวลาที่กดเข้าไปในแอปเดลิเวอรี่ เพื่อเข้าไปดูร้านอาหาร แต่สุดท้ายก็มีหลายครั้งเหมือนกันที่เขาออกมาจากแอปฯแล้วไปสั่งตรงจากร้านอาหารนั้น ๆ เลย เพราะว่าบางทีการสั่งโดยตรง มีโปรโมชั่นที่ดึงดูดและน่าสนใจไม่น้อยไปกว่าในแอปฯ
ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าในแอปฯ มีโปรโมชั่นเยอะมาก เพราะว่าในแอปฯ ขนส่งดัง ๆ การแข่งขันค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นร้านอาหารอาจจะต้องมีโปรโมชั่นค่อนข้างเยอะ ซึ่งบางทีหลาย ๆ ร้าน ก็อาจจะลืมว่าช่องทางที่ทางร้านมี ถ้ามีโปรโมชั่นที่ดึงดูดกว่า ลูกค้าก็จะไปสั่งตรงจากทางร้านด้วยเหมือนกัน ซึ่งเราเองก็มีประสบการณ์สั่งตรงจากร้านด้วยบ่อย ๆ เพราะว่าโปรโมชั่นเขาก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
- “ความคุ้มค่า” และ “ความมั่นใจ” ที่ลูกค้าได้รับ💸💖:
“ราคา” ยังเป็นเรื่องหนึ่งที่ลูกค้าให้ความสนใจ ในร้านนึงจึงอาจมีหลาย ๆ ช่วงราคา อาจจะเริ่มต้นที่ราคาไม่สูงมากไปจนถึงสูงเลยก็ได้ แต่พอเป็นราคาสูงไม่ว่าจะเป็นหลักพันหรือว่าเกินพัน หรือหลักหลาย ๆ ร้อย ลูกค้าจะต้องรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป เช่น ถ้าจ่ายเป็นพัน แต่ทานได้ทั้งบ้าน หรือว่าจ่าย 600-800 แต่ทานได้ 3-4 คน ก็รู้สึกว่าคุ้มค่า ไม่เพียงเท่านั้นเพราะการที่ร้านอาหารมีโปรโมชั่นที่ราคาน้อยลงมาหน่อย เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ทานแค่คนเดียวหรือสองคนก็เป็นเรื่องที่ควรจะทำด้วยเหมือนกัน เพราะการที่ร้านมีหลาย ๆ ช่วงราคาจะทำให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารให้เหมาะสมกับตัวเองได้ ด้วยลูกค้าแต่ละคนก็จะมีราคาในใจที่วางเอาไว้ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ แต่ถ้าลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายราคานี้ คุ้มค่ากับตัวเขาและจำนวนที่ได้รับ เขาก็สั่ง เราจึงมองว่าราคาไม่สำคัญเท่ากับตัวสินค้าที่เขาได้รับ
สุดท้ายคือเรื่องของการเพิ่มความมั่นใจ เรามองว่าการสื่อสารสำคัญมาก เพราะว่าเดี๋ยวนี้พอเป็นเดลิเวอรี่ลูกค้าก็จะได้เห็นอาหารก็ต่อเมื่อตอนที่ไรเดอร์มาส่ง ไม่เหมือนกับการไปซื้อที่ร้าน เพราะฉะนั้นการสื่อสารในโซเชียลของร้านอาหารนั้น ๆ ว่ามีการทำอะไรบ้าง อย่างเช่น มีการทำความสะอาดตลอด พาพนักงานไปฉีดวัคซีนหรือใส่ชุด PPE อะไรแบบนี้ ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจกับร้านเยอะขึ้นได้เลย และมีการอัปเดทตลอดไม่ใช่แค่ลงวันนี้ แล้วเว้นไปอีกนาน เพราะการลงโพสต์ที่สม่ำเสมอจะช่วยให้ลูกค้าเห็นว่าร้านเรามีการเคลื่อนไหวตลอด และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าได้
ซึ่งคุณณีรนุช ก็ยังได้ฝากไว้ว่าแม้ช่วงนี้ร้านอาหารจะเน้นขายเดลิเวอรี่มากขึ้น ด้วยมาตรการปิดร้านอาหารในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เราในฐานะ Food Blogger ก็จะพยายามช่วยเหลือร้านอาหารให้ได้มากที่สุด โดยพยายามช่วยรีวิวร้านเล็ก ๆ ให้ได้มากที่สุด และเป็นกำลังใจให้กับร้านอาหารทุกร้านให้เจ็บตัวน้อยที่สุด อีกทั้งตนก็จะพยายามช่วยเหลือร้านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตน รู้สึกว่าถ้าเราอยู่ได้ ก็อยากให้ทุก ๆ ร้านอยู่ได้ด้วยเหมือนกัน
#AmarinAcademy #ร้านอาหาร