หมีไรกิน Creative Food ต้นทุนเท่าเดิม เพิ่มเติมคือกำไร!
เมนูร้านเรามันธรรมดา จะขายแพงก็กลัวลูกค้าไม่ซื้อ แล้วจะเพิ่มยอดขายได้ยังไง ?
ถ้าใครเคยมีความคิดแบบนี้ ลองมาดูแนวคิดของคุณดรีม – นัทพล สอนวงษ์ เจ้าของร้าน หมีไรกิน ที่มาแชร์แนวคิด การเปลี่ยนเมนูเดิมๆ ให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้นให้ฟัง!
ทำไมต้อง หมีไรกิน
ก่อนที่ผมจะมาเปิดร้านอาหารผมทำธุรกิจอื่นอยู่ แต่ว่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมาธุรกิจเกิดมีปัญหา ผมเลยต้องถอนตัวออกมา ตอนนั้นกลายเป็นคนว่างงาน ไม่รู้จะทำอะไรดี แต่ผมมีความฝันอยากเปิดร้านอาหารมานานแล้ว เลยคิดว่านี่คงเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ลงมือทำตามความฝันสักที
แต่การทำร้านอาหารคู่แข่งมันเยอะ ถ้าเมนูเราไม่แปลก ไม่ใหม่ ลูกค้าอาจจะมาแค่ชิมแล้วจากไป ดังนั้นคอนเซ็ปต์เมนูของผมคือ “ต้องแปลกและแ-กได้ (ทุกวัน)” เลยเกิดเป็นเมนูเหล่านี้ขึ้นมา
ส่วนชื่อ หมีไรกิน ผมคิดมาได้สักพักแล้ว เพราะว่าแฟนผมเป็นคนระยอง เวลากลับไปเยี่ยมบ้าน เขาก็จะถามกันว่า “หมีไรกินนิ” เราว่ามันน่ารักดี เลยเอามาตั้งเป็นชื่อร้าน ให้มันกวนๆ น่ารักๆ
สินค้าต้องแก้ปัญหาลูกค้า ถึงจะขายได้
เมื่อได้คอนเซ็ปต์ ผมก็มาวิเคราะห์ว่า ถ้าจะทำเมนูให้ลูกค้าชื่นชอบหรือโดนใจ เมนูนั้นก็ต้องแก้ปัญหาให้ลูกค้าด้วย
อย่างเมนู ซูชิพันธุ์ไทย แรงบันดาลใจของเมนูนี้คือ ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้ว เราเจอปัญหาคือแฟนของเพื่อนๆ ผม ส่วนใหญ่จะมีคนนึงที่ชอบกินซูชิมาก แต่อีกคนไม่ชอบเลย ฉะนั้นเวลาชวนไปร้านอาหารญี่ปุ่น คู่นี้จะไม่ค่อยไป เราเลยอยากแก้ปัญหานี้
อีกปัญหาคืออาหารญี่ปุ่นราคาค่อนข้างสูง อาจจะด้วยวัตถุดิบที่ราคาสูงกว่าอาหารชนิดอื่นๆ ฉะนั้นมันกินได้เฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น 2 ปัญหานี้เลยกลายมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำเมนูซูชิพันธุ์ไทย
จริงๆ แล้วเมนูนี้มันมีพื้นฐานที่ง่ายมากเลย คือข้าวเหนียวหมูทอด หมูย่าง ตับทอด เนื้อทอด เป็นเมนูที่ผมมั่นใจว่าคนไทยทุกคนรู้จักและเชื่อว่าทุกคนเคยกิน เราแค่ใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไป ทำให้มันกินง่ายขึ้น ราคาไม่สูง และกินได้ทุกวัน
เมนูสร้างสรรค์ ประหยัดงบการตลาด
ข้าวปั้นตอนนี้มีทั้งหมด 8 หน้า เสือร้องไห้ คอหมูย่าง ตับกระเทียบ สามชั้นทอด หมูมะนาว ตับหวาน ปลาทู และชะอม
การที่เราคิดเมนูใหม่ๆ แบบนี้มันทำให้เรา “ได้” ในสองทาง คือ ในแง่รายได้ ที่ต้นทุนเราไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น แต่ลูกค้าเต็มใจจ่ายในราคาที่สูงขึ้น จากปกติหมูทอดไม้ละ 10 บาท ข้าวเหนียว 5 บาท จ่ายแค่ 15 บาท บางคนก็อิ่มแล้ว แต่เราใส่ไอเดียเข้าไป ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามันแปลกใหม่นะ เขาก็ยินดีจ่าย
อีกมุมหนึ่งคือ มันประหยัดงบการตลาดของเราด้วย เพราะเมื่อเมนูมันแปลก คนก็อยากถ่ายรูปโชว์ ชวนเพื่อนๆ มากิน จนตอนนี้กลายเป็นกระแสในโลกโซเชียล ลูกค้าตามมาจากช่องทางนี้เยอะมาก ลูกค้าส่วนใหญ่มาถึงไม่ค่อยขอเมนูที่ร้าน แต่เปิดเฟซบุ๊กแล้วจิ้มว่าเอาเมนูนี้ ทำให้เรารู้ว่า สื่อโซเชียลมันมีอิทธิพลจริงๆ
กลับกันถ้าเราอยากดัง แต่เมนูเราไม่เด่น เราต้องไปจ้างบล็อกเกอร์มารีวิว เสียเงินให้เขา บางรายการครึ่งแสน ถือว่าเยอะมาก แต่ตอนนี้เมนูเราเด่น รายการต่างๆ เขาก็เข้ามาหาเองโดยไม่ต้องเสียเงินจ้างเลย
เมื่อไม่มีเงิน มันเลยต้องสร้างสรรค์
ผมว่าคนที่อยากเปิดร้านอาหารมี 2 ประเภท คือคนที่มีเงิน จ้างคนมาทำโครงสร้าง ทำร้านสวยๆ เมนูดีๆ มันออกมาดีแน่นอน กับประเภทที่ 2 คือ ไม่มีเงิน ต้องลงมือทำเองทุกอย่าง ซึ่งผมเป็นอย่างหลัง (หัวเราะ) ฉะนั้นผมเลยต้องใส่ใจกับร้านในทุกๆ อย่าง ใส่ใจในทุกรายละเอียด ออกแบบเมนูเอง ตกแต่งร้านเอง ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้เลย เมื่อไม่มีเงินมันเลยถูกบังคับให้สร้างสรรค์ ไม่อย่างนั้นเราก็อยู่ไม่ได้
การออกแบบร้านผมให้คำจำกัดความว่า เป็นร้านอาหารสไตล์ “Feel ฉัน” ทุกอย่างมันเกิดจากความที่เราไม่มีเงิน มีคนเคยบอกว่ายิ่งเรามีเงินน้อย ก็ยิ่งต้องคิดเยอะๆ เลยดูเหมือนครีเอทีฟนะ แต่จริงๆ เราไม่มีงบ (หัวเราะ) อย่างกระจกที่ร้าน ตั้งใจว่าจะติดสติกเกอร์สวยๆ แต่งบไม่พอ เลยซื้อปากกาเขียนกระจกชุดละร้อยกว่าบาท เขียนได้ทั้งร้านเลย หรือการตกแต่งผนัง ถ้าเราใช้อิฐบล็อกดำ หมื่นกว่าบาท เปลี่ยนมาใช้สังกะสี เหลือ 1,200 บาท ความไม่มีเงินนี่แหละมันผลักดันให้เราต้องสร้างสรรค์
ทำร้านอาหาร เพื่อนสนิทคือ “ปัญหา”
หลายคนคิดว่าการทำร้านอาหารมันง่าย แต่จริงๆ การทำอาหารกับการทำร้านอาหารมันต่างกันสิ้นเชิง ถ้าคุณกำลังจะเริ่มทำร้านอาหาร ผมบอกเลยว่าคุณจะมีเพื่อนสนิทเพิ่มอีก 1 คน นั่นคือ “ปัญหา” มาหาบ่อยมาก (หัวเราะ) น้ำรั่ว พื้นพัง แอร์เสีย ท่อตัน ลูกค้าบ่น รออาหารนาน เยอะแยะไปหมด ผมเปิดมา 4 เดือน เจอเกือบครบทุกปัญหาแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเราผ่านมาหมดแล้ว รู้หมดแล้ว ผมคิดเสมอว่าตัวเองกระจอก ไม่มีทางเก่งที่สุดหรอก พอคิดอย่างนี้เราก็จะขวนขวายหาความรู้และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
ฉะนั้นผมว่าถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ทุกวันนี้โลกมันเปิดกว้างมาก คุณมีความรู้อยู่ในมือ แค่พิมพ์หาในกูเกิ้ลก็เจอแล้ว หรือมีคอร์สเรียนมากมายเต็มไปหมด
ยกตัวอย่างตัวผมเองเป็นกรณีศึกษาก็ได้ ผมลงเรียนกับทาง Amarin Academy ยอมเสียเงินหลักพัน ดีกว่ามาลงทุนหลักแสนหลักล้านแล้วเจ๊ง ฉะนั้นผมแนะนำว่าถ้าคุณไม่เคยทำร้านอาหารมาก่อนแล้วอยากทำร้าน ไปเรียนเถอะ ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องที่เดียวกับผม เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันต้องจัดการยังไง จนกว่าจะมีคนสอนหรือไปเจอปัญหาเอง
อีกสิ่งที่ผมอยากฝากไว้คือ ร้านอาหารต้องให้ความสำคัญกับเมนู กับสินค้าของตัวเอง การที่ผมเปิดร้านในทำเลนี้ (รามคำแหง 110) ไม่ติดถนน คู่แข่งก็เยอะ เพราะผมไม่มีตัง เลยต้องเลือกที่มันถูกๆ เราก็ไม่แน่ใจหรอกว่ามันจะไปรอดไหม แต่เราอยู่รอดมาได้ ก็เพราะสินค้าของเราล้วนๆ ที่ดึงลูกค้ามา
ผมทดลองอาหารหมดไปเกือบแสน กินเองจนโคตรเบื่อเลย แต่มันทำให้ผมมั่นใจว่า เมื่อเราเอาไปเสิร์ฟลูกค้า เขาจะไม่ด่า
ฉะนั้นผมว่าคุณจะสร้างสรรค์เมนูยังไงก็ได้ แต่รสชาติต้องดี เพราะแม้ว่าคุณจะมีเงิน ยิงโฆษณาไปหาลูกค้า เมนูสร้างสรรค์สุดๆ แต่พอลูกค้ามากินแล้ว โห…ไม่อร่อยเลย เขาก็ไม่กลับมาอีก คุณก็ได้แต่ยอดไลก์ ไม่ได้ยอดขาย ฉะนั้น สิ่งสุดท้ายที่อยากจะฝากไว้คือ ต้องให้ความสำคัญกับเมนูให้มากๆ อย่าละเลย
ติดต่อร้าน หมีไรกิน https://www.facebook.com/mheeraigin/
บทความที่เกี่ยวข้อง
ปลูกปั่น น้ำผักผลไม้ปั่น ไม่มีหน้าร้าน แต่ขายได้ 400 ขวดต่อวัน!